ราคารวม : ฿ 0.00
หมอดู อาจจะไม่ใช่ “หมูดี” อาจจะเป็นเพียงแค่ “หมีดำ” ถ้าเอาใจไปใส่กับคำทำนายมากนัก... “หมอก็ผยอง เราก็จะหมองมัว” ...แสดงว่าเราไม่มีความมั่นใจในความดี ความฉลาด ความสามารถส่วนตน ความเป็นคนมีกัลยาณมิตร ไม่ควรที่จะโต้ตอบ ไม่ควรที่จะบอบช้ำ อะไรมันจะเกิดความไม่ดี ความไม่ดีที่มันเกิดจงรู้ไว้เถิดว่าเราต้องแก้ ขอให้เข้าใจว่าหมอดูนั้นเรียกกันว่า...“โหร” เพียงแค่คำว่าโหรก็ไม่รู้กันแล้วว่าคืออะไร ก็ขอให้รู้ว่า “โหร” มาจากคำว่า “หุร” แปลว่า “โลกอื่นๆ” ดังบทมนต์ในรัตนสูตรตอนต้นว่า... “อิธะ วา หุรัง วา” คือ โลกนี้หรือโลกอื่น
หมอดู คนทรง ผู้มีฌาน เป็นผู้ที่คนอย่างเราแยกไม่ถูก บางทีหมอดูก็ทำท่าเป็นคนทรงเจ้าเข้าผี บางทีคนทรงเจ้าเข้าผีก็ทำเป็นหมอดู บางทีทั้งคนทรงเจ้าเข้าผีก็ทำเป็นผู้มีฌานสมบัติ มีทั้งจริงที่นำมาบอก มีทั้งปลอกลอกที่ทำท่าหากิน แต่ก็ขอให้พวกเรารู้ว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมของตนส่งให้มาเกิด ดำเนินชีวิตตามลิขิตของกรรมดีชั่วในอดีต และพฤติกรรมดีชั่วของตัวในปัจจุบัน ควรแก้กรรมด้วยการทำดีพัฒนาชีวิตในสิ่งที่ตนเองบกพร่องและยอมรับกรรมไม่ดีที่ตนเองทำไว้ในอดีตชาติและอดีตในปัจจุบัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ...บุญทำกรรมแต่ง...อย่าไปเครียดจนวิปริต อย่าไปคิดจนวิปลาส ภาวนาว่า...อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด... นอกจากนี้ยังต้องภาวนาคาถาสู้ชีวิตว่า...เป็นอย่างไรก็เป็นกันวะ...เท่านี้ก็จะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างกล้าหาญ
โบราณสอนว่า...ฟังอะไรก็ฟังหูไว้หู...อย่าเป็นกระต่ายตื่นตูม “กระต่ายตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ใต้ต้นมะตูม ขณะที่หลับอย่างมีความสุข ลมพัดมาอย่างแรง ผละมะตูมสุกหล่นลงมาข้างๆ หู เสียงดังสนั่น กระต่ายตกใจวิ่งจากที่นั่น โดยไม่ทันดู แล้วก็บอกพวกสัตว์ว่า...แผ่นดินถล่มๆ... บรรดาสัตว์ทั้งหลายก็วิ่งหนีตามกระต่ายไปอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งนี้เพื่อเอาชีวิตรอด ขณะนั้นพระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นพระยาราชสีห์ เห็นสัตว์ทั้งหลายกำลังวิ่งตามกระต่ายไปยังหุบเหวข้างหน้า เห็นความหายนะแห่งชีวิต จึงไปยืนขวางหน้าไว้ พร้อมทั้งถามว่ากระต่ายได้เห็นแผ่นดินถล่มจากที่ไหน เมื่อทราบความ ราชสีห์จึงให้สติ แล้วพาสัตว์ทั้งหลายพร้อมทั้งกระต่ายไปดูยังที่นั่น ก็เห็นผลมะตูมร่วงหล่นอยู่ จึงให้สติ สัตว์ทั้งหลายก็พากันรอดตาย”
คนไทยเรามักตื่นข่าวมงคลและตื่นข่าวอัปมงคล พากันเสียท่าเสียใจมานักต่อนักแล้ว เพียงแค่อาจารย์ท่านหนึ่งทางภาคเหนือทำนายทายทักทำพิธี ก็พากันตื่นทั้งข่าวมงคลและพากันตื่นข่างอัปมงคล อาตมาไม่ดูหมิ่นหมอดู คนทรง แต่ก็ไม่หลงโดยปราศจากเหตุผล จนออกอาการเพี้ยน เพ้อ โต้ตอบ ตื่นตระหนกใจ อีกทั้งอยากให้หมอดูและคนทรงอย่าหลงและจงอย่าสร้างความอกสั่นขวัญเสียแก่สังคม วิชาความรู้ทั้งหลายนั้นมีไว้ “เพื่อแก้” ไม่ใช่ “เพื่ออวดและขู่”
ไหนเราตำหนิเด็กว่า เล่นอินเตอร์เน็ตจนเสียทรัพย์ เสียเนื้อตัว ก็ผู้ใหญ่ยังเสียสติกันขนาดนี้ อย่าไปว่าเด็กมัน ลองหันไปทบทวนหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าใน กาลามสูตร ๑๐ ประการ ก็พอจะได้สติกันบ้าง แล้วก็ภาวนาว่า...ปากอย่าอวดรู้ หูอย่าเชื่อง่าย...โดยภาวนาทุกครั้งว่า...
ปากไม่ใช่ของกู แต่หูก็ไม่ใช่ของมึง
ถ้าปากมึงอวดรู้ หูกูก็จะไม่ผึ่ง
พอแล้วกะเรื่องข้างต้นนี้ เรื่องข้างหน้าคือสงกรานต์ ชื่นบานสนุกสนานแบบไทยๆ ขอฝากเป็นข้อคิดสัก ๒-๓ เรื่อง
สงเอยสงกรานต์ น้ำใสซ่านสาดกระเซ็น
น้ำใจก็ใสเย็น ดังเฉกเช่นน้ำสงกรานต์
รดน้ำรับคำพร พ่อแม่ก่อนนะลูกหลาน
แล้วค่อยสนุกสนาน สาดน้ำใจใส่กันเอย
รู้จักไม่รู้จัก มีใจรักสามัคคี
สาดน้ำกันทุกที เราก็มีแต่น้ำใจ
สาดน้ำกันแต่พอดี ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
เล่นแผลงแรงเกินไป ขออภัยกันและกัน
อย่าดื้อถือโอกาส เล่นอุบาทว์ชีกอนั่น
แฟนใครก็แฟนมัน สาดน้ำกันแต่พอดี
ถ้าเขาไม่เล่นหนา เราก็อย่าไปทู่ซี้
น้ำจิตมิตรไมตรี สงกรานต์มีปีครั้งเดียว.
พระเทพปฏิภาณวาที
(เจ้าคุณพิพิธ)
แชร์ :
เขียนความคิดเห็น