ตอนที่ 64 : ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน (เสริววาณิชชาดก)

      ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน(เสริววาณิชชาดก)

 

          สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องสัจจะ จากระดับล่างสุดถึงระดับสูงสุด อันได้แก่ อริยสัจจะ ๔ ประการ ทั้งนี้เพื่อให้ชาวโลกมั่นในสัจจะ บุคคลผู้ใดมั่นในสัจจะ บุคคลผู้นั้นชนะงานชนะใจคนเสมอ ส่วนบุคคลผู้ใดไร้สัจจะย่อมเป็นผู้ล้มเหลว ถึงแม้ได้รับลาภผลก็เข้าในลักษณะ “รวยไม่ทนแต่จนถาวร” จึงมีคำเตือนใจเสมอว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” ดั่งจะยกตัวอย่างเมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพ่อค้าขายของเร่ ในเสริววาณิชชาดก ดังนี้

         ในพระไตรปิฎกแสดงเรื่องราวของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า....

         กาลครั้งหนึ่ง พระองค์เกิดเป็นชาวบ้านแห่งเมืองเสริวะ ในครั้งนั้นทรงเป็นพ่อค้าขายของเร่ ด้วยการแลกเปลี่ยนของเก่า ทั้งด้วยการแลกของและซื้อของ แต่ในขณะเดียวกันก็มีพ่อค้าของเร่ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน แต่เขาผู้นี้มีนิสัยคดโกง คือต้องการเสียของน้อยได้กำไรมาก ทั้งสองคนพากันข้าม แม่น้ำไปสู่อันธบูร (อัน-ทะ-บูน) ครั้นถึงแล้วก็แยกกันค้าขายแลกเปลี่ยนไปตามถนน

     ในหมู่บ้านนั้น มียายเฒ่าคนหนึ่งอยู่กับหลานสาวผู้น่ารัก ยายเฒ่าผู้นี้อาศัยอยู่ในบ้านตึกซึ่งเดิมเป็นคฤหาสน์ แต่เนื่องจากเกิดโรคอหิวาตกโรคระบาด ผู้คนหนีไปอยู่ต่างถิ่นกันเป็นจำนวนมาก สามีและลูกสาวพร้อมทั้งลูกเขยก็ตายจากไป แกจึงต้องเลี้ยงดูหลานสาวตามมีตามเกิด และแล้ววันหนึ่งพ่อค้าชาวเสริวะผู้มีนิสัยคดโกงก็เดินทางผ่านมายังหน้าบ้านของแก ร้องโฆษณาว่า....

       ฉันมีสร้อย  กำไล   มาขายค้า

 ตุ๊กตา       ของใช้    ใหม่ทุกสิ่ง

 รับซื้อขาย  ราคางาม   ตามเป็นจริง 

  อย่าอยู่นิ่ง เชิญเลือกหา  สินค้าเถิด

         หลานสาวของยายเฒ่าได้ฟังพ่อค้าเร่ร้องขายสินค้า เธออยากได้สิ่งของอันเป็นของเล่นและเครื่องประดับ เพราะรู้ว่าพ่อค้าจะมีของแปลก ๆ มาขายหรือแลกเปลี่ยน เมื่อพ่อค้ามาถึง เธอก็วิ่งเข้าไปหาคุณยายแล้วพูดขึ้นว่า....

         ยายจ๋า...คุณยายจ๋า    มีพ่อค้าผ่านมาด้วย

 กำไล สายสร้อยสวย   หนูอยากได้ใส่คอแขน

        หลานเอ๋ย...หลานยายจ๋า  ยายนี้หนาจนเหลือแสน

 เงินทองยายขาดแคลน  เอาถาดเก่าให้เขาดู

        ถ้าเขาให้เงินทอง  ยายรับรองซื้อให้หนู

 กำไล สร้อย ตุ้มหู  หนูจะได้สมใจปอง

          เมื่อยายเฒ่าพูดจบจึงเดินเข้าไปในบ้าน หยิบถาดทองคำซึ่งตนเองซ่อนไว้ใต้เตียงมานานแล้ว ถาดใบนี้ยายใช้ขี้เถ้าผสมน้ำมันทาไว้เพื่อพรางตาว่าเป็นถาดทองเหลืองเก่า ๆ แล้วส่งให้พ่อค้าขี้โกง พ่อค้าจับถาดแล้วใช้ปลายเข็มกรีดลงบนถาดก็ตื่นเต้น เพราะรู้ว่าเป็นถาดทองคำ แต่ด้วยนิสัยที่อยากเสียน้อยได้มาก จึงคิดแผนการบีบคั้น ยิ่งเห็นหลานยายเฒ่าแสดงอาการอยากได้สร้อย แหวน กำไล ยิ่งทำให้พ่อค้ามั่นใจว่าอย่างไรเสียตนเองก็เป็นต่อ พ่อค้าผู้โลภมากจึงรำพึงในใจว่า....

         ยายเฒ่านี้เง่าโง่  ถาดใบโตแท้ทองคำ

 แกเก็บจนเก่าดำ   จำเราจะกะกลลวง

  ทำกลไม่สนใจ      วางถาดไว้ทำไม่หวง

 สักครู่มาตู๊ทวง     ต่อราคาน่าจะดี

        หลานสาวของยายเฒ่า  อ้อนเร่าเร่าขอเซ้าซี้

 อ้อนยายหมายจักมี  สร้อย กำไล ใส่แขนคอ

 เดี๋ยวยายก็ใจอ่อน    ถูกหลานอ้อนแถมงอนง้อ

 สินค้าข้ามีพอ   ต่อรองยายหมายถาดทอง

         เขาคิดดั่งนี้แล้วก็วางถาดลงอย่างไม่แยแสแล้วก้าวไปจากบ้าน พร้อมด้วยคำพูดว่า...“ถาดใบนี้ไม่มีราคาพอที่จะซื้อหรือแลกเปลี่ยนสินค้าของข้าแม้แต่ชิ้นเดียว”..

         เมื่อพ่อค้าผู้โลภมากจากไปไม่นาน พ่อค้าชาวเสริวะผู้ซื่อตรงก็เดินทางมาถึง หลานสาวเห็นพ่อค้าซึ่งร้องขายสินค้าแบบเดียวกันเดินผ่านมา ก็รีบวิ่งเข้ามาหาคุณยายด้วยความดีใจ ...“ยายจ๋า ๆ มีพ่อค้าแบบเดียวกันผ่านมาอีกแล้ว เราลองขายถาดให้พ่อค้าผู้นี้ดูจะดีไหม”....

        ยายจึงอนุญาตให้หลานสาวเชิญพ่อค้าเข้ามาในบ้าน แล้วหยิบถาดใบนั้นออกมาอีกครั้ง หลานสาวของยายเฒ่ารับถาดจากยายแล้วนำไปยื่นให้พ่อค้าผู้ซื่อสัตย์ดู แล้วพูดว่า...

        พ่อค้าผู้ใจดี     ถาดใบนี้ตีราคา

 หนูได้เงินทองมา  ซื้อตุ๊กตา สร้อย กำไล

 หนูอยากได้ประดับ  หนูจนทรัพย์ อับจนใจ

 เมื่อครู่หนูร้องไห้    พ่อค้าไม่ไยดีเลย

   พ่อค้าผู้ซื่อตรงรับถาดจากหนูน้อยมาพิจารณาดู เห็นรอยเข็มก็รู้ว่าพ่อค้าคนนั้นผ่านมาแล้ว แต่ก็ให้สงสัยในใจว่าเหตุใดเขาไม่ซื้อเอาไป เมื่อเป็นเช่นนี้จึงพูดว่า...

         ท่านยายครับ...ท่านยาย อย่าเพ่อขายถาดใบนี้

 รอยขีดปรากฏมี   ที่ฉันเห็นเป็นทองคำ

 เงินทองของทั้งหมด มิอาจทดแทนค่าล้ำ

 ยายขายได้เงินทำ  บ้านหลังใหม่ใหญ่โอฬาร์

      คุณยายฟังพ่อค้าพูดเช่นนี้ก็ดีใจ เล่าความจริงให้ฟังว่าตนเองเป็นเศรษฐี แต่เพราะเหตุใดจึงต้องมายากจนและเลี้ยงหลานสาว ทั้งนี้เพื่อให้พ่อค้ามั่นใจว่าถาดทองคำใบนี้มิได้ขโมยใครมา จึงพูดกับพ่อค้าว่า....

         พ่อค้าผู้หน้าซื่อ  โปรดจงซื้อถาดเถิดหนา

 หลานยายเธอหมายตา  สร้อย กำไล ใส่คอแขน

 เป็นของหรือเงินตรา  สุดแต่ว่าค่าตอบแทน

 ในใจไม่หวงแหน  สำหรับท่านฉันยินดี

       “เมื่อคุณยายขาย ข้าพเจ้าก็ขอมอบเงินทองและของทั้งหมดนี้ให้ท่านยาย แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของราคาถาดทองคำนะครับ” พ่อค้าผู้ซื่อตรงกล่าว แล้วก็มอบเงินทองข้าวของให้คุณยาย

       ....“ขอบใจพ่อคุณ บางกรณีนะ ถ้าเรามีความจำเป็นในบางเรื่องที่จะต้องกินต้องใช้ แม้มีเพชรทองก็เปล่าประโยชน์”.... คุณยายกล่าวแล้วก็รับของและเงินไว้

      ครั้นแล้วพ่อค้าก็บอกลาคุณยายและหลาน ..“หากผมมีโอกาสเดินทางมาค้าขาย จะแวะมาเยี่ยมเยียน และจะนำของกิน เครื่องประดับ พร้อมทั้งเงินมาเพิ่มให้อีกนะครับ...ลาก่อน”.... เขาเดินทางไปยังท่าน้ำ แล้วโดยสารเรือข้ามฟากเพื่อกลับไปยังหมู่บ้านของเขา

          เมื่อพ่อค้าผู้ซื่อตรงออกจากบ้านยายไปไม่นาน พ่อค้าผู้มีนิสัยคดโกงก็หวนกลับมายังบ้านยายอีกครั้งตามแผนของเขา ....“ไหนยาย ลองเอาถาดมาดูอีกครั้งหนึ่งซิ เผื่อว่าข้าจะให้เงินทองของประดับไว้บ้างเพื่อแลกกับถาด”....

           ยายตอบว่า...“เมื่อครู่มีพ่อค้าคนหนึ่งมา ฉันขายให้เขาไปแล้ว เขามอบเงินทองและของทั้งหมดเป็นค่าถาดทองคำ”....   

         .... “ยายทำอย่างนี้ได้อย่างไร ในเมื่อยายเสนอขายให้ข้าก่อน”.... เขาสบถด้วยความโกรธ

         เมื่อยายถูกต่อว่าเช่นนี้ จึงพูดขึ้นว่า....

          อย่าโมโห   โกรธา    มาว่าฉัน

 คนอาธรรม์   หลอกแม้   คนแก่เฒ่า

        ฉันเคยเป็น  เศรษฐี  ดีกว่าเจ้า

 ย่อมรู้เท่า   ความคิด   จิตโสมม

       อย่านึกว่า   ยายเฒ่า  นี้เง่าโง่

 ทั้งหิวโซ   สร้างอุบาย  หมายมาข่ม

     บีบคั้นหลาน  ข้าร้องไห้  ใจระบม

 หวังชื่นชม  ถาดทองคำ  ล้ำค่านั้น

         เมื่อรู้ว่าพ่อค้าบ้านเดียวกันได้เป็นเจ้าของถาดทองคำใบนั้น เขาเกิดความเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อลาภกำลังจะเป็นของเขา แต่ต้องตกเป็นของพ่อค้าอีกผู้หนึ่ง .... “ไม่ได้ มันจะเอาของ ๆ ข้าไปไม่ได้ ถ้ามันกลับไปมันต้องรวยทันตา และเรื่องราวของข้าต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน”.... เขาคิดอย่างคั่งแค้น แสนเสียดาย และอับอายขายหน้า

         ทันใดนั้น พ่อค้าผู้ขี้โกงก็ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่บ้านยาย วิ่งออกจากบ้านอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่งตรงไปสู่ท่าน้ำ แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะพ่อค้าผู้นั้นโดยสารเรือเกือบถึงฝั่งตรงข้าม

         เมื่อเขาเห็นเรือที่พ่อค้าผู้ซื่อสัตย์กำลังใกล้ถึงฝั่งตรงข้าม เขาถึงรู้ว่าถาดทองคำนั้นหลุดลอยจากเขาเสียแล้ว เขาตะโกนเสียงดังลั่นไปทั้งคุ้งน้ำว่า....

.... “ไอ้คนฉกฉวย เอาถาดทองคำของข้าคืนมา”....

 .... “ไอ้คนสารเลว เอาถาดทองคำของข้าคืนมา”....  

         เขาตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยความเสียดาย เสียใจ บวกกับความอิจฉา มันกลายเป็นความคั่งแค้นจนสุดที่จะควบคุมตนเองได้ เขาแค้นจนเลือดสดทะลักออกจากปาก เขาจึงเงยหน้าขึ้นตะโกนต่อท้องฟ้าว่า....

    ปวงเทพทุกชั้นฟ้า  โปรดจงมาเป็นพยาน

 ข้าขอจองล้างผลาญ  ทำลายรานมารผู้นี้

 มันเกิดชาติไหนไหน   ข้าเกิดไปตามราวี

 เป็นสัจจวาที   ฟ้าจงเห็นเป็นพยาน

         ร่างของเขาโงนเงนแล้วล้มลง หัวใจเขาแตกสลายนอนตายอยู่ ณ ชายหาดนั้น

      ผู้ใดใจฉ้อฉล  เอาเปรียบคนกลมุสา

 ทำการด้วยมารยา รวยเงินตราอย่าดีใจ

 เงินทองกองท่วมฟ้า บนน้ำตาคนหม่นไหม้

         ทรัพย์สินกินเข้าไส้  ดั่งไฟไหม้ตับไตตัว

 โกงกินทรัพย์สินชาติ  กรรมอุบาทว์พวกชาติชั่ว

 จิตใจมิไหวกลัว    รื่นเริงร่านงานสังคม

 แต่ในใจที่แท้    กลับจมแช่ความขื่นขม

  เคล้าคลุกทุกข์ระทม  เจ็บปลาบแปลบแสบวิญญาณ์

     เพชรทองเส้นโตโต  ก็คือโซ่ล่ามแขนขา

 บ้านช่องห้องเคหา  มิต่างกว่าคุกเรือนจำ

 เหมือนกุ้งสะดุ้งกลัว ขี้ขึ้นหัวตัวน่าขำ

 ได้ยิน “โกงกิน” คำ สุดเจ็บช้ำหอกตำใจ

  ครั้นตายไปเป็นผี  กรรมบ่งชี้อย่าสงสัย

 กรรมชั่วตัวทำไว้    หมกไหม้ในอเวจี

        การอาฆาตในครั้งนี้ เป็นปฐมเหตุให้พ่อค้าผู้นี้ตามจองล้างจองผลาญจนในชาติสุดท้าย

        พ่อค้าผู้ซื่อสัตย์  เกิดมาเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

        ถาดทองคำใบนั้น  คือถาดที่นางสุชาดาถวายพร้อมข้าวมธุปายาส แล้วพระพุทธองค์ทรงอธิษฐานลอยทวนกระแสน้ำ

        พ่อค้าผู้ฉ้อโกงเกิดมาเป็นพระเทวทัต ในที่สุดก็ถูกธรณีสูบตกนรก

 

 

 


อ่าน : 0

แชร์ :


เขียนความคิดเห็น