ราคารวม : ฿ 0.00
ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ อยู่ที่ “เป็นอะไรแล้วไม่เป็น” เหตุที่เป็นอะไรแล้วไม่เป็นมีสาเหตุหลักอยู่ ๒ ประการ คือ... ไม่รู้ว่าเป็น และ เป็นแล้วไม่หาความรู้...
ไม่รู้ว่าเป็น คือ เกิดมาแล้วมี “สภาวะ” ที่เป็นติดตัวมาทุกคน และสภาวะนั้นก็ขยับขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่น เป็นลูก เป็นหลาน เป็นญาติ เป็นน้องของพี่ เป็นพี่ของน้อง ฯลฯ ลองจดสภาวะที่เป็นก็จะได้เต็ม ๆ หน้ากระดาษ ในความเป็นเหล่านั้น มีขนบ ธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณีที่จะต้องปฏิบัติ อันเป็นกฎธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของสังคมของแต่ละประเทศ
เป็นแล้วไม่หาความรู้ คือ เมื่อเป็นแล้วไม่ศึกษาหาความรู้ว่า อะไรที่ต้องปฏิบัติอะไรควรปฏิบัติ อะไรควรเว้นปฏิบัติ อันที่จริงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนให้คนรู้ในความเป็นไว้ในสิงคาลกสูตร ที่เราพูดกันเสมอว่า “ทิศ ๖” ในพระสูตรนี้เป็นการรู้หน้าที่หลัก คือ เป็นพ่อที่แท้เป็นแม่ที่ถูก เป็นลูกที่ดี เป็นสามีที่น่าเสน่หา เป็นภรรยาแม่ศรีเรือน เป็นเพื่อนกัลยาณมิตร เป็นศิษย์รักรู้วิชาการ เป็นครูอาจารย์ที่น่ากราบไหว้ เป็นผู้อาศัยที่ไม่น่าเบื่อหน่าย เป็นเจ้านายที่มีใจโอบอ้อมอารี
แต่ในความเป็นนั้น ยังมีความ “อยากเป็น” เสริมเข้ามาอีก ในความอยากเป็นก็อาจจะเกิดจาก... “กิเลส หรือ อธิษฐานธรรม” ...ซึ่งใจก็ยังเถียงกันอยู่ ไอ้เจ้าตัวกิเลสเมื่อมันอยากเป็นมันก็โกหกว่าเป็นอธิษฐานธรรม เมื่อมันโกหกเจ้าตัวจนสนิทแล้วมันก็เริ่มโกหกคนอื่น อาจจะออกมาเป็นโครงการ เป็นปฏิภาณ เป็นมูลนิธิ เป็นกลุ่มการเมือง เป็นพรรคการเมือง แล้วมันก็ร่างปฏิญญาแบบกิเลสบังหน้าเอาไว้เพื่อให้คนอ่านคนฟังศรัทธาเลื่อมใส ยามที่ยังไม่ได้โอกาสมันก็จะดูสงบเสงี่ยมเจียมตนเสียเหลือเกิน แต่พอได้โอกาสแล้วมันก็เกิดอหังการ คือพอเมื่อเป็นเข้าแล้วกิเลสมันก็แสดงผลโดยอาศัยความ “ได้เป็นมาสร้างความได้เปรียบ” โลกใบนี้มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ แต่เมื่อมีคนอยากเป็นในทำนองเดียวกันมาแย่งความเป็นของมัน ก็เลยมีแต่การใส่ร้าย โหดร้าย ทำลายกัน เอา...เอากันให้บรรลัยกันไปข้างหนึ่ง...
หันมาดูความเป็นที่เป็นโดยธรรมชาติและเป็นแบบสัมมาทิฏฐิกันบ้าง ความเป็นโดยธรรมชาติจะสามารถดำรงอยู่ได้ด้วย “สามัญสำนึก” ความเป็นโดยสัมมาทิฏฐิดีกว่าสามัญสำนึกอีกหลายระดับ เพราะเป็น “มโนธรรมสำนึก” ถ้าบวกทั้ง “สามัญสำนึกและ
มโนธรรมสำนึก” ความเป็นโดยธรรมชาติธรรมดาและอาสามาเป็นจะมีความล้ำเลิศ ก็แล้วเป็นอะไรจึงจะถือว่าเป็นแล้วเป็น เป็นแล้วเป็นต้องเป็นดังนี้...
เป็นพระเณรก็ต้องสวดต้องเทศน์
เป็นเปรตก็ต้องขอ
เป็นหมอก็ต้องรักษา
เป็นหมาก็ต้องหอนต้องเห่า
เป็นเต่าก็ต้องคลาน
เป็นพยาบาลก็ต้องดูแล
เป็นพ่อเป็นแม่ต้องเลี้ยงดูบุตร
เป็นจอมยุทธก็ไม่ต้องขี้กลัว
เป็นผัวก็ต้องมีใจภักดิ์
เป็นเมียก็ต้องรักเดียว
เป็นเสี่ยว (เพื่อน) ก็ต้องช่วยเหลือ
เป็นเกลือก็ต้องเค็ม
เป็นเข็มก็ต้องแหลม
เป็นแหนมก็ต้องเปรี้ยว
เป็นนกเป็นเหยี่ยวก็ต้องบิน
เป็นผู้ถือศีลก็ต้องอด
เป็นนักพรตก็ต้องสละ
เป็นพระก็ต้องสลัด
ความเป็นทั้งหมดนี้ ถ้าไม่เป็นก็ผิดสามัญลักษณะ ผิดสามัญสำนึก แต่ถ้ารู้ตัวว่าไหนๆ ก็เป็นแล้ว ก็ควรเพิ่มมโนธรรมสำนึกผนวกเข้าไปด้วย ความเป็นนั้นจะเป็นความเป็นที่ประเสริฐ... ใครเป็นแล้วเป็น อยู่เย็นทั้งชาติ ใครเป็นแล้วไม่เป็น ลำเค็ญทั้งชาติ...
พระเทพปฏิภาณวาที
“เจ้าคุณพิพิธ”
แชร์ :
เขียนความคิดเห็น