ราคารวม : ฿ 0.00
เมืองไทยของเรา คนไทยของเรา ดำเนินชีวิตอยู่บนความรุ่มร้อน ๓ เรื่อง คือ... ความอดอยากยากจน กลกามา มายาการเมือง....
ความอดอยากยากจน เกิดจากการ...
- ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
- ขาดความขยันขันแข็ง
- แย่งผลประโยชน์ของรัฐ
- พัฒนาไม่ทันประเทศเพื่อนบ้าน
- ไม่ศึกษาวิชาการเสริม-ความรู้
- ดำรงชีวิตอยู่ในอบายมุข
กลกามา คือการที่ถูกกระตุ้นให้คนหลงบริโภคนิยมด้วยสื่อโฆษณา อีกทั้งกระตุ้นให้หลงใหลใฝ่หากามารมณ์ คือ รูป รส กลิ่น เสียง เพศสัมพันธ์ จึงเกิดความลุ่มหลงทั้ง “เด็กวัยเยาว์ และ ตาเฒ่าหัวงู”
มายาการเมือง นักการเมืองที่ประสงค์ “อำนาจและฟาดผลประโยชน์” คิดมายาการเมืองที่ “ตนเองจะอยู่ได้ ต้องทำลายคู่ต่อสู้” ผลที่สุด “ประชาธิปไตยก็บรรลัยเพราะนักการเมือง” การเมืองไทยจึงถึงทางตัน
เหตุที่เป็นดังนี้เพราะอะไร คำตอบก็คือ “ผีสิง” เหตุที่ผีสิงก็เพราะการที่พ่อแม่ของแต่ละคนสั่งสอนลูกในทางที่ผิด เช่น ลูกต้องรวยนะ ลูกต้องมียศศักดิ์ ลูกต้องไม่แพ้ไอ้ลูกบ้านนั้น ลูกต้องแข่งขันกับอีลูกบ้านนี้ ลูกต้องมีรถคันโต ลูกต้องมีบ้านใหญ่โอฬาร ลูกต้อง ฯลฯ นี่คือคำสอนผีสิง เมื่อพ่อแม่ใส่วิญญาณผีเปรต ผีปอบเข้าไปในจิตวิญญาณลูก ๆ ของตน เมื่อโตขึ้นก็มีวิญญาณผีอีกมากมายสิงสู่ เมื่อสิงอยู่นานเข้าผีก็สิงสถิตในใจถาวร เราจึงเห็น “เปรตใส่สูท พระอรหันต์นุ่งผ้าตูดขาด” คนทั้งหลาย “ยกย่องเปรต ปฏิเสธพระอรหันต์” คนเดี๋ยวนี้... ยกย่องเปรตว่าเฉลียวฉลาด ดูถูกพระอรหันต์ว่าขาดการพัฒนาตัว
ความเป็นมนุษย์ผีสิงไม่ต้องดูไกลหรอก แม้แต่... “สายรก กับ สายเลือด ก็ยังเฉือนเชือดกันเอง” ไอ้และอีลูกผีสิงหลอกพ่อแม่ ฆ่าพ่อแม่ พี่น้องกีดกันซึ่งกันและกัน เมียฆ่าผัว ผัวฆ่าเมีย ลูกน้องฆ่าเจ้านาย เจ้านายทำลายลูกน้อง ผีเปรตผีปอบแย่งชิงผลประโยชน์ทางวัตถุโดยลืมคุณธรรม คือความสันโดษและความเสียสละ ผีเปรตผีปอบ... “นั่งรถราคาแพงติดฟิล์มกรองแสงสีดำ” อยากแสดงและอวดความเป็นคนใหญ่คนโต อยากอวดโก้ แต่ไม่กล้าโผล่หน้าให้คนเห็น ทำตนเหมือนผีกลัวแสงนั่งในโลงศพติดลูกล้อ ต่างจากคนสุจริตติดดิน ถึงจะไม่รวยล้นหรือจนทรัพย์สินแต่ไม่กอบโกยโกงกิน สามารถเดินในที่โล่งแจ้งโดยไม่ต้องระแวงใคร ๆ สภาพจิตก็ต่างกัน “ขี่เกวียนร้องเพลง ขี่รถเก๋งร้องไห้ อยู่คฤหาสน์ตรมตรอม อยู่กระท่อมสุขใจ” ความสันโดษและสุจริตก็คือ จิตของเทวดา หากเพิ่มความเมตตากรุณาก็เป็นท้าวมหาพรหม
เมื่อเห็นโทษของความเป็นคนผีสิงแล้ว เรากำจัดผีสิงได้อย่างไร ข้อนี้ไม่ยากเย็นอะไร เพราะมีคาถาภาวนาฆ่าผีร้ายทำลายผีเลว คาถาก็ไม่ยาก เป็นคาถาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คาถานั้นมีอยู่ ๓ คำ คือ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” เวลาภาวนาก็ต้องหลับตาลง แล้วใช้สติส่องไปในร่างกายอันได้แก่สังขาร แล้วภาวนาว่า สังขารนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วลืมตามองบริขารคือเครื่องใช้ไม้สอย บ้านช่องเรือนชาน แล้วก็ภาวนาว่า บริขารที่เห็นนี้ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในเมื่อสังขารมีวิญญาณครองคือตัวตนยังเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังนั้นบริขารที่ไม่มีวิญญาณครองก็ต้องเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์คือไม่ยั่งยืน ไม่มีอะไรเป็นของเรา นั่นหมายความว่า “ไตรลักษณ์ได้ฆ่าความเป็นตัวกู เมื่อความเป็นตัวกูตายแล้ว ความเป็นของกูก็ไม่มี” แต่ที่มันยุ่งยากทุกวันนี้เพราะมันมี“ตัวกู” เมื่อมีตัวกูก็มี “ของ ๆ กู” คนที่ถูกผีสิงจึงร้องเหมือนนกเขาหรือนกพิราบว่า “ตัวของกู ของ ๆ กู ของกู ๆ ๆ”
เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอริยสัจ ๔ แก่ ปัญจวัคคีย์ จึงตรัสเรื่อง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ในมรรคนั้นมี ๘ ประการ เริ่มด้วย สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง การที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงในข้อว่า สัมมาทิฏฐิ คือเห็นอย่างไร บทขยายก็คือ อนัตตลักขณสูตร ได้แก่ ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังนั้นเมื่อทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรแล้ว จึงทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร ด้วยการถามปัญจวัคคีย์ถึงขันธ์ ๕ ซึ่งได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น นิจจัง สุขัง อัตตา หรือเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อปัญจวัคคีย์ทูลตอบด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระองค์จึงรู้ว่าปัญจวัคคีย์สิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้ว
วันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรกหลังจากตรัสรู้ เพื่อนำปัญจวัคคีย์สู่ความรู้อันยิ่งใหญ่คือ “ไตรลักษณ์” ได้แก่ความที่สังขารทั้งที่มีวิญญาณครองและไม่มีวิญญาณครอง และสังขารที่ไม่มีวิญญาณครองถูกสังขารที่มีวิญญาณครองจับจองเป็นเจ้าของ ทั้งหมดนี้ตกอยู่ในกฏของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ดังนั้นใครที่รู้จักมรรคมีองค์แปด แต่ไม่รู้จักไตรลักษณ์ ไม่ชื่อว่าเข้าถึงพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าเอามาอ้างเป็นเรื่องเล่น ๆ ยิ่งอ้างว่ารู้ก็ยิ่งไกลมรรค ผล นิพพาน การที่จะเข้าถึงไตรลักษณ์จึงมีหลากหลายวิธี อย่างน้อยที่สุดเมื่อตื่นนอนมาลืมตาทุกครั้ง ก็ควรจะอุทานง่าย ๆ ว่า...
เราเกิดมาอยู่บนกองดิน
ทำมาหากินบนกองงาน
ทำบุญสุนทานด้วยกองเงิน
ทุกขณะกำลังเดินสู่กองฟอน
ตายแล้วนอนบนกองไฟ
เผาไหม้แล้วเหลือแต่กองกระดูก
ภาวนาได้เช่นนี้รับรองผีที่เคยสิงก็จะถูกขับไล่ไป แล้วผีสิงเมื่อถูกขับไล่แล้วมันจะไปอยู่ที่ไหน เมื่อไม่ใช่ผีสิง ก็อาจจะเป็นผีชัยนาท ผีนครสวรรค์ ผีอ่างทอง ก็ช่างหัวมัน...
พระเทพปฏิภาณวาที
“เจ้าคุณพิพิธ”
แชร์ :
เขียนความคิดเห็น