ตอนที่ 23 : กรรมบังตา

         สังคมที่ระส่ำระสายไปด้วยปัญหามากมาย มาสู่สภาวะของสังคมที่ล่มสลายนั้น ก็เพราะเหตุว่ามีการทำลายความเชื่อทางศาสนาในทุก ๆ ศาสนา คือ การทำลายความเชื่อในเรื่องนรก-สวรรค์ ซึ่งเป็นผลจากความดีและความชั่ว

         ผลแห่งความชั่ว เมื่อตายไปแล้วไปเกิดในนรก ทั้งอย่างที่จงใจทำลาย และอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยความคิดของตนเอง จนกลายมาเป็นการฝังไว้ในหัวสมองของเด็ก ในหัวใจของเด็กว่า เรื่องนรกเป็นเรื่องขำขัน เรื่องสวรรค์เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ทั้งเรื่องนรกและสวรรค์เป็นการเสกสรรของนักศาสนา หรือของศาสดาในศาสนา

         ทั้งนี้พวกวัตถุนิยมมักจะกล่าวอ้างกันว่า เข้ากับวิทยาศาสตร์ไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้

         เมื่อเยาวชนของเรา หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ เกิดความไขว้เขวในเรื่องคำสอน ผลแห่งความดีความชั่ว ไม่กลัวนรก ไม่รักสวรรค์

         บนพื้นฐานของชีวิตปัจจุบันนี้ จึงเป็นพื้นฐานชีวิตที่ระส่ำระสายไม่มีอะไรเป็นหลัก เรียกว่า ขาดศาสนา คือ ขาดคำสอน 

         แต่นรกไม่ใช่เรื่องขำขัน สวรรค์ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ มีความเป็นจริง มีจริง อยู่อย่างนั้น หากว่าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่เรามีคำพูดอยู่คำหนึ่งว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” หมายความว่า วันใดไม่ถึงเวลาตายล่ะก็ไม่นึกถึงหรอก หรือคนเราไม่ติดคุกติดตะราง ก็ไม่รู้รสชาติของคุกตะราง และเวลากรรมมาบันดาล ตามันมืดบอดหมด

         นายพรานคนหนึ่ง ใจบาปหยาบช้า เข้าป่าล่าสัตว์ ฆ่าสัตว์ด้วยความสนุกสนานเกือบจะตลอดชีวิต วันหนึ่ง หลังจากเข้าป่าล่าสัตว์ ปิ้งเนื้อสัตว์กินแล้ว ไม่มีน้ำดื่ม เดินเสาะหาน้ำไปเจอกุฏิพระกัมมัฏฐานอยู่ในป่า ก็ได้มุ่งหวังตั้งใจว่า จะไปตักน้ำของพระดื่ม แต่พอเปิดโอ่งแล้ว ก็ร้องด่าพระอย่างหยาบคาย เช่น  “พระหัวโล้น พระขี้เกียจ แม้แต่เพียงน้ำ แค่ใส่โอ่ง ก็ยังขี้เกียจตัก”

         พระก็ออกมาจากกุฏิ พระยืนยันว่า... “ก็น้ำเต็มโอ่ง อยู่เต็มอย่างนั้นล่ะ โยม”

         พรานมองไม่เห็นน้ำ ก็เลยด่ากราดตอบโต้พระไปอีก เถียงกันไปเถียงกันมา พระก็เลยบอกว่า... “เอาอย่างนี้ไหมเล่า อาตมาจะตักให้”

         ว่าแล้วพระก็ตักน้ำในโอ่งซึ่งมีน้ำอยู่เต็มโอ่ง แล้วส่งให้พรานใจบาปนี้กิน

         พรานรับขันน้ำจากพระแล้วรีบกินน้ำ เมื่อดื่มน้ำไปแล้ว จึงรู้ว่า... “อ้อ ! เรานี่ นี่กรรมบังตา เพราะอวิชชาบังใจมาตลอด ทำให้ใจมืดบอด” ก็เลยขอบวช เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติดี 

         เราจะรอให้ถึงโลงศพไหมท่านทั้งหลาย ให้ผลกรรมชั่วมันบันดาล ดีว่านายพรานได้เจอพระ ถ้าไม่เจอพระล่ะ จะเป็นอย่างไร

         เรานั้นเจอพระแล้ว แม้หากว่าไม่เลื่อมใสในพระสงฆ์เพราะข่าวสารบางประการ ก็ยึดพระธรรมของศาสนาของตนเองนั่นแหละ เป็นหลักครองใจ พระจะอยู่ในใจเรา คือพระธรรมคำสอนนั้นเอง

         ฉะนั้น อย่าให้ถึงคราว เห็นโลงศพแล้วหลั่งน้ำตา ถึงเวลานั้นแล้วเราแก้ตัวไม่ได้อย่างเด็ดขาด

 

                                                            พระเทพปฏิภาณวาที

                                                                “เจ้าคุณพิพิธ”   


อ่าน : 0

แชร์ :


เขียนความคิดเห็น