ตอนที่ 43 : ข้อคิดในการดำเนินชีวิต

       ในหน้าที่ของพวกเราทุกคนจะต้องปฏิบัติต่อตัวเองและต่อครอบครัวนั้น มีอะไรหลายสิ่งหลายประการที่จะเป็นข้อปฏิบัติ วันนี้จะให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตและในการปกครองคนในครอบครัวครอบครอง ก็คือ การปฏิบัติตนให้ได้ ๔ ประการ ซึ่งเป็นข้อจำเป็นในสังคมในปัจจุบัน

                                   ๑.  ต้องกำจัดความโง่

                                  ๒.  ต้องกำจัดความง่อย

                                  ๓.  ต้องระวังคนถ่อย   

                                    ๔.  ต้องระวังคนเถื่อน

         “กำจัดความโง่ กำจัดความง่อย ระวังคนถ่อย ระวังคนเถื่อน” เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในสังคมที่เราจะพึงระลึกถึงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการระลึกเพื่อตัวเอง หรือเป็นการป้องกันบุคคลในครอบครัวหรือครอบครอง

         กำจัดความโง่ กำจัดได้อย่างไร? 

         ก็คือต้องส่งเสริมตัวเอง คนในครอบครัวคนในครอบครองให้ได้ศึกษาหาความรู้ ที่เราเรียกว่าให้ได้ปริญญา ความจริงปริญญาจะเป็นแผ่นกระดาษหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่หมายถึง คำว่า “ปริญญา” หมายถึง รอบรู้ และ รู้รอบ  คือ....

                                   ๑.  ต้องรู้รอบตัว

                                  ๒.  ต้องรู้รอบด้าน

                                  ๓.  ต้องรู้รอบประเทศ   

                                  ๔.  รู้รอบโลก

         ถ้าเราเป็นคนใฝ่รู้ด้วยการศึกษาเล่าเรียนจาก “ไอ ที (IT)” คือ “Information และ Technology” ที่เรียกว่าเป็น ยุคสารสนเทศ เราก็จะกำจัดความโง่ออกไปได้ เรานิยมปล่อยควาย  ควายนี่นิยมปล่อยกันมาก เชื่อว่าปล่อยควายแล้วมีบุญ ได้บุญ แต่ควายในหัวสมองของเราคือความโง่เง่า ถ้าเป็นผู้ชาย (ขออภัย) เขาก็เรียก “ไอ้ควาย” เป็นผู้หญิงเขาเรียก “อีควาย” ควายตัวนี้อยู่ในสมองของเรา วิธีปล่อยควายมี  ๔ วิธี  คือ .....

                                  ๑.  สุตะ       -   ดูและฟังอย่างตั้งใจ

                                  ๒.  จินตะ   -    คิด

                                  ๓.  ปุจฉา    -    อ้าปากถาม

                                  ๔.  ลิขิต      -   จดจารพร้อมทั้งจดจำ

         ใครก็ตามที่กำจัดความโง่ได้คนนั้นมีความเจริญก้าวหน้า การที่ส่งตัวเองเล่าเรียน ส่งลูกหลานให้เล่าเรียนก็เป็นการกำจัดควาย 

         กำจัดความง่อย คือ ความเกียจคร้าน คนที่ง่อยมาแต่เกิดเขาเรียก คนพิการ แต่คนที่ขี้เกียจงอมืองอเท้าทั้ง ๆ ที่มือเท้าไม่ได้งอ เขาเรียก คนพิกล คนพิกลนี้น่ารำคาญ คนพิการน่าสงสารน่าเวทนา บางคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อคือไม่พยายามทำอะไรเลย และยังกินเติบใช้เปลือง นี่เขาเรียก “เป็นไข้แตงโม - มือโต ตีนเย็น การงานเบื่อเหม็น ข้าวปลากินได้” อย่างนี้ยากจน

         ดังนั้นในการที่เราจะต้องกำจัดความโง่ให้พ้นไปจากสมองของเรา กำจัดความง่อยคือความเกียจคร้านนั้นเป็นกิจที่จำเป็นอย่างยิ่งในการปกครองตัวและครอบครัว

         “กำจัดความโง่และความง่อย” นั่นคือ ความโง่ซึ่งมีอยู่ในใจของเราได้แก่จะต้องศึกษาเล่าเรียน ความง่อยคือต้องขยันเหยียดมือเหยียดเท้า อย่าเหยียดหยามงาน งานอะไรทำได้ก็ต้องทำ ยิ่ง ณ ขณะนี้เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ต้องร่วมด้วยช่วยกันในบุคคลระหว่างครอบครัว อย่าอยู่อย่างอาศัยเขาแต่เราเป็นคนง่อย

         ในเรื่องปัญหาของสังคม เราได้ยินการทะเลาะเบาะแว้งกัน สังคมมีการปล้นจี้กัน มีคนชั่วเกิดขึ้นเยอะ คนชั่วคือคนประเภทใด เรียกว่า คนถ่อย แต่คนอื่นถ่อยนี่ไม่น่ากลัวหรอก ตัวเราของเราเองนี่แหละระวัง อย่าไปหลงติดความชั่วเข้าจะกลายเป็นคนถ่อยในสังคม

         สังคมปัจจุบันนี้เดือดร้อนมาก เดือดร้อนเพราะอะไร เดือดร้อนเพราะ “มีคนชั่วเยอะ คนดีมีน้อย คนถ่อยมีมาก คนฉลาดหายาก คนโง่เต็มเมือง”

                  คนดีไม่ค่อยมี    -       มีแล้วก็หลบเข้ากลีบเมฆไปหมด

                 คนถ่อยมีมาก     -      ออกมาเดินกันกร่างไปหมด  และอยู่ในหลายรูปแบบ

                 คนฉลาดหายาก  -      คนฉลาดก็ไม่ค่อยมี 

                 คนโง่เต็มเมือง    -       มีโอกาสแสดงความถ่อยความโง่มากกว่าแสดงความดี

          และความฉลาด

          แท้ที่จริงแล้วคนถ่อยนี่พระพุทธเจ้าสอนให้หลีกเลี่ยงอธรรมซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นคนถ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอบายมุข ท่านห้ามเด็ดขาด โดยพระพุทธเจ้าได้เสนอ ศีล เป็นเครื่องกำกับชีวิต ศีลนี้จะทำให้คนหายถ่อย และเมื่อเราจะดูว่าใครเป็นคนถ่อยก็จงเอาศีลไปวัด 

            บางคนถ่อยมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนใจร้าย ไม่ชอบใช้เมตตาธรรมแต่ใช้ความรุนแรง เจอหมาเตะหมาเจอแมวเตะแมว ท่านทั้งหลายคาดเอาปูนขีดหัวไว้ได้เลยว่า คนเหล่านี้ถ้าโตขึ้นแล้วจะกลายเป็นคนถ่อย เรียกว่าเป็น คนโหดร้าย เมื่อโต ๆ ขึ้นแล้วกลายเป็นคนโหดร้าย

            บางคนลักเล็กขโมยน้อยตั้งแต่เด็ก ถ่อยเพราะเป็นคนลักเล็กขโมยน้อย โตขึ้นมาก็ต้องกลายเป็นโจร ไปทำอาชีพอะไรก็ตามจะกลายเป็นคนกอบโกยโกงกิน     

ในเรื่องศีลข้อต่อไปก็คือ.... 

                 ศีลข้อที่สาม    คือ     เรื่องของกามารมณ์

                 ศีลข้อที่สี่       คือ     เรื่องของการพูดจา   

                 ศีลข้อที่ห้า      คือ     เรื่องของอบายมุข  เป็นเรื่องสิ่งเสพติด

         ก็จงหลีกเลี่ยงในสิ่งเหล่านี้โดยเอา ศีล มากำกับ จะได้ไม่ถ่อย และเมื่อจะรู้ว่าใครเป็นคนถ่อยก็จงพิจารณาว่า....เขามีศีลหรือไม่?....

         ระวังคนเถื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่รู้จักหน้าไม่รู้จักใจ ที่เรามีคำพูดคำหนึ่งว่า “แม่ไม่ให้กินของคนแปลกหน้า” ถูกต้องที่สุด คนแปลกหน้าคนแปลกปลอมเราไม่รู้จัก อย่าไปคบหาสมาคม ไม่รู้จักเขาแล้วไปทะลึ่งคบหาสมาคม ไปคบคนในที่มืดชีวิตก็มืด   

         ดังนั้นจงเข้าใจหลักการ ๒ ประการว่า  ระวังคนถ่อย และ ระวังคนเถื่อน ตัวเองก็จะปลอดภัย ชีวิตก็ต้องปลอดภัย 


อ่าน : 0

แชร์ :


เขียนความคิดเห็น