ราคารวม : ฿ 0.00
เณรหนุ่ยกำลังยืนดูนกหลายชนิดกินฝักมะขามเทศริมรั้ววัด ซึ่งหลวงตาปลูกไว้เพื่อให้เป็นทานแก่เด็กและนก ขณะกำลังเพลินกับการดูนกอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเด็กหญิงพอเพียงและเด็กชายใฝ่ดี....
ด.ช.ใฝ่ดี : พี่เณรครับ
เณรหนุ่ย : มีอะไรหรือ...ใฝ่ดี ?
ด.ช.ใฝ่ดี : พี่เณรครับ การบำเพ็ญประโยชน์คืออะไรหรือครับ ?
เณรหนุ่ย : การทำตนให้เป็นประโยชน์ เป็นการทำความดีอย่างหนึ่งนะ ถามทำไมล่ะ ?
ด.ญ.พอเพียง : แล้วมันเกี่ยวกับการเป็นคนดียังไงเล่าคะ...หลวงพี่เณร..?
เณรหนุ่ย : ไม่รู้เหมือนกัน ต้องไปถามหลวงตาแล้วละ... มา...ตามมา
เณรหนุ่ยพาเด็กทั้งสองมากราบหลวงตา ขณะที่หลวงตากำลังนั่งอ่านใบลานพระไตรปิฏก เณรหนุ่ยจึงพูดขึ้น....
เณรหนุ่ย : กราบเรียนหลวงตาครับ สองคนนี้สงสัยว่าการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์จัดว่าเป็นคนดีอย่างไร กระผมพูดว่าเป็นคนดีได้ แต่อธิบายไม่ถูกครับ...
หลวงตา : เณรหนุ่ยลองทบทวนพระพุทธภาษิตที่หลวงตาให้ท่องเมื่อวันพระก่อน พุทธภาษิตนั้นว่าอย่างไรและแปลว่าอะไร?
เณรหนุ่ย : พุทธภาษิตนั้น คือ....
สัพเพสัง สะหิโต โหติ
(สพฺเพสํ สหิโต โหติ)
คนดีย่อมบำเพ็ญประโยชน์แก่คนทั้งปวง
หลวงตา : เก่งมาก คราวนี้ทุกคนตั้งใจฟัง การเป็นคนดีและทำดีนั้น ต้องบ่มเพาะมาจากภายในใจ แต่อย่าให้อยู่เพียงในใจ ต้องแสดงออกภายนอก เรียกว่า ทาง “กายกรรม”
: คนดีนั้นต้องมีทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ด้วยการบ่มเพาะและแสดงออกให้เหมาะแก่สถานการณ์ ดังนี้
ตั้งเมตตาไว้เป็นนิตย์
มีจิตผ่องใส
มีน้ำใจอาสา
เห็นคนอื่นเกิดปัญหาไม่นิ่งนอนใจ รีบเข้าไปช่วยเหลือ
เอื้อเฟื้อเจือจาน
ช่วยงานสังคม
ไม่ต้องการค่าจ้างและคำชม
ต้องไม่ตรมเมื่อถูกใครเขากระแนะกระแหน
ด.ญ.พอเพียง : หลวงตาคะ... คำว่า “เจือจาน” นี่ ความหมายเป็นอย่างไรคะ?
หลวงตา : ดีมากนะลูก สงสัยถามได้เลย หลวงตาเข้าใจว่า “เจือ” มาจากคำว่า “จุนเจือ” ส่วน “จาน” คือ “จานข้าว” นั่นก็หมายความว่า...ถ้าเรามีข้าวเต็มในจานเรา แต่จานข้าวคนอื่นพร่องหรือไม่มีข้าวกิน เราก็แบ่งข้าวจากจานเราไปให้จานเขาบ้าง อย่างนี้เรียกว่า “เจือจาน” เป็นความหมายที่รู้กันว่ามีใจเมตตากรุณาต่อผู้อื่น....
ด.ช.ใฝ่ดี : ผมสงสัยครับหลวงตา คือผมสงสัยว่าการทำความดีต่อสังคมนั้น หลวงตาสอนว่า “ต้องไม่ตรมเมื่อถูกใครเขากระแนะกระแหน”... ทำไมการทำดีต้องมีคนกระแนะกระแหนด้วยครับ
หลวงตา : มีทั่วไปแหละลูกเอ๋ย..! บางคนทำดีก็ถูกหาว่าอยากได้หน้าตา อยากได้คำชม, อยากได้ยศศักดิ์, อยากได้ความรัก, อยากได้ผลประโยชน์
หลวงตา : พระอินทร์บนสวรรค์นั้น ตอนที่ท่านยังเป็นมนุษย์ ท่านมีชื่อว่า..มฆมานพ (มะ-คะ-มา-นบ) ท่านเริ่มทำสาธารณประโยชน์ เริ่มต้นคนเขาก็วิจารณ์ กระแนะกระแหน แต่ท่านไม่โต้ตอบ มีใจชื่นบาน จนชาวบ้านอีก ๓๒ ครอบครัวมาเป็นพวก ร่วมกันทำประโยชน์ ต่อมาก็มีข้าราชการระดับผู้ใหญ่ ถ้าเป็นสมัยนี้เรียกว่านายอำเภออิจฉา เท็จทูลพระราชาด้วยข้อหาร้ายแรงว่าอาจก่อกบฎ พระราชารับสั่งให้จับผู้ชายทั้ง ๓๓ คน มัดกับหลักไม้ ไล่ช้างให้เหยียบ มฆมานพให้เพื่อนๆ เจริญเมตตาต่อพระราชา ต่อนายอำเภอและช้าง ไล่ช้างให้เหยียบเท่าไร ช้างก็ไม่เหยียบ สุดท้ายพระราชาพระราชทานอภัย และสนับสนุนกิจกรรมสาธารณประโยชน์อีกมากมาย เรื่องมันยาว ไว้โตขึ้นหน่อย จะเล่าให้ฟัง
หลวงตา : มฆมานพมีคุณธรรมประจำใจ เรียกว่า “วัตตบท” มี ๗ ประการ เป็นทั้งอุปนิสัย และควบคุมมิให้พลุ่งพล่านเมื่อทำประโยชน์ คือ...
๑. กตัญญูกตเวที
๒. มีความประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
๓. เจรจากับใครๆ ด้วยถ้อยคำไพเราะ
๔. ไม่พูดจาแซะเซาะเสียดสี
๕. ไม่เป็นคนขี้ตระหนี่
๖. มีวาจาสัตย์
๗. กำจัดความโกรธด้วยการให้อภัย
หลวงตา : ข้อนี้แหละใฝ่ดี ที่คนบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นต้องมีเป็นหางเสือเรือ เอาไว้คัดท้ายเรือ จำไว้ทุกคนว่า...ถ้าจะบำเพ็ญประโยชน์ ต้องมีคาถาท่อง... เอ้า...ประนมมือ แล้วท่องตามดังๆ
ทำดี อยากให้คนชมว่าดี มีผลคือ “บ้า”
ทำดี อยากได้หน้า สิ่งที่ตามมาคือ “วุ่น”
ทำดี เพื่อมีบุญ ใจไม่ขุ่น “สงบสุข”
หลวงตา : เอาละ...ไปเถอะ อยากบำเพ็ญประโยชน์อะไรก็รีบไปทำ ทำไปก็ท่องคาถาไปด้วย
หลวงตา : โน่น...เณรหนุ่ย ยกตะกร้าขนมและผลไม้ไปให้สองคนนี้ไปกินและไปแจกเพื่อน ๆ ด้วย
ด.ช.ใฝ่ดี : อย่างนี้นี่เอง การบำเพ็ญประโยชน์เป็นการกระทำของคนดี
ด.ญ.พอเพียง : งั้นเราก็มาทำตนให้เป็นประโยชน์กันเถอะ
เณรหนุ่ย : การเป็นคนดีนั้นยังสามารถทำอะไรได้อีกหลายอย่างนะ ไม่ใช่การบำเพ็ญประโยชน์อย่างเดียวหรอก
หลวงตา : เห็นไหมว่านอกจากจะได้ความเข้าใจแล้วยังได้ขนมกินอีก แต่..เอ... ชักสงสัยว่าที่มีปัญหาถามนี่มีปัญหาจริง หรืออยากกินขนมกันแน่ ?
ด.ญ.พอเพียง : ขนมเป็นผลพลอยได้ค่ะ...หลวงพี่เณร !
พระเทพปฏิภาณวาที
“เจ้าคุณพิพิธ”
แชร์ :
เขียนความคิดเห็น