ตอนที่ 164 : เห็นกงจักรเป็นดอกบัว (มิตตวินทุกชาดก)

... ใครเอ่ย  ...

อุ้มแล้วไม่หนัก

เหนื่อยแล้วไม่พัก

รักไม่ลวง

ห่วงไม่เลิก

เบิกไม่คิด

ผิดไม่แค้น

ตายแทนเราได้

                                                              ตอบ...แม่...

 

        สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนให้ปวงสัตว์โลกทั้งหลายรู้สำนึกในพระคุณของผู้หญิง อันได้นามว่าแม่  เช่น ตรัสว่า...มาตา  มิตฺตํ สเก  ฆเร  (มาตา มิตตัง  สะเก  ฆะเร)แม่เป็นมิตรในเรือน เป็นต้น

        เมื่อประมวลความดีความงามของแม่แล้ว  ขอให้ท่องจำขึ้นใจว่า.....

               แม่เป็นผู้ให้เรามีโชค                - -     จิตวิญญาณได้มาอยู่กับแม่

               แม่สร้างโลกให้อยู่                   -  -     ให้เกิดมาเป็นมนุษย์

               แม่เป็นผู้เสียสละ                     -  -     เลี้ยงดู

               แม่เป็นพระในเรือน                   - -     ควรกราบไหว้  รับพร

               แม่เป็นเพื่อนในบ้าน                  - -     พูดคุย

               แม่เป็นกรรมกรเก่งงาน            -  -     ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ

               แม่เป็นศาลสถิตยุติธรรม          -  -     ตัดสินการทะเลาะระหว่างพี่น้อง

               แม่เป็นศาลเจ้าฟังความทุกข์      -  -     ยามทุกข์แม่รับฟังเสมอ

               แม่บันดาลสุขทุกประการ            -  -    สิ่งใดเป็นความสุขของลูกแม่ทำให้ได้ตลอด

 

        สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเล่าประวัติของพระองค์ที่ทรงกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ทำแล้วมีอานิสงส์ คือ ตกต่ำ - ไม่มีวันสูญหาย ถึงคราวตายก็ฟื้น ปืนยิงไม่ออก  หอกแทงไม่เข้า  เทพเจ้ารักษา พระราชาโปรดปราน 

        ในทางตรงกันข้าม บุตร ธิดา คนใด ไม่เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ กับทั้งไม่เลี้ยงดู ต้องประสบเหตุร้ายในชีวิต ๒ ประการ คือ ฉิบหาย และ ตายโหง ดังเรื่องราวของเด็กหนุ่มผู้ชื่อ มิตตวินทุกะ (มิดตะวินทุกะ)

        ในอดีตกาล มีหญิงม่ายคนหนึ่ง สามีของนางตายไปแล้ว นางมีลูกชายชื่อมิตตะวินทุกะ นางเฝ้าเลี้ยงดูด้วยความรักทะนุถนอม แต่เขาไม่สนใจในการศึกษาเล่าเรียน ชอบคบเพื่อนชั่ว ทำตัวเสเพล

        “นี่แน่ะลูกรัก แม่ขอให้ลูกไปวัด ฟังพระสงฆ์แสดงธรรม ถ้าลูกไปวัด แม่จะมอบรางวัลให้ทุกครั้ง ดีไหมจ๊ะลูก”…. นางพูดกับลูกด้วยเสียงที่พินอบพิเทา

        โดยความเป็นจริง  นายมิตตวินทุกะไม่ฟังคำสอนของแม่ และมักเถียงอยู่เสมอ  บางทีก็พูดตะคอกขู่ บางทีก็ส่ายหัวแสดงอาการเอือมระอา บางทีก็เดินกระทืบพื้นด้วยอาการประชด บางทีก็สะบัดหน้าหนี คำสอนของแม่ผู้อารีมิได้เข้าหูอยู่ในหัวเขาเลย อีกทั้งเขาก็ไม่เรียนหนังสือ แต่ครั้งนี้เขากลับแสดงอาการยินดีอย่างยิ่ง เพราะคิดอยากได้เงินของแม่มาก ๆ เขาจึงรับคำแล้วเข้าวัด แต่ก็มิได้ไหว้พระสวดมนต์ กลางคืนเมื่อมีประชาชนมาประชุมกันไหว้พระสวดมนต์ เขาก็หาที่หลังอาสน์สงฆ์นอนหลับ เช้าก็กลับบ้าน รับเงินค่าจ้างจากแม่ 

        หญิงม่ายเห็นลูกเข้าวัดก็ชื่นใจ แต่ไม่รู้ว่าลูกมิได้สวดมนต์ฟังเทศน์ ทุกเช้าก็จัดอาหารให้เขากิน แล้วก็ให้รางวัล

        “น่ารักมากลูกเอ๋ย ถ้าลูกประพฤติตัวอย่างนี้ แม่ก็สบายใจ แม่ภูมิใจในตัวลูกมากที่กลับตัวเป็นคนดี”... นางพูดด้วยเสียงอันเอิบอิ่ม

        เมื่อนายมิตตวินทุกะรับเงินจากแม่ของเขาแล้ว ก็สะสมไว้โดยมิได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงดังแต่ก่อนมา แต่นั่นมิใช่วิสัยของเขา เพราะแท้จริงแล้ว เขามีแผนการที่จะหลอกเอาเงินแม่

        วันหนึ่ง เมื่อเขาหลอกเงินแม่ได้มากพอสมควรแล้ว เขาจึงรำพึงกับตัวเองว่า

                   เราขืนอยู่กับแม่                      เป็นดักแด้อยู่ในใย

            ควรจะเดินทางไกล                         ไปดินแดนแสนหรรษา

            จะได้เที่ยวผู้หญิง                          กินปลาปิ้งดื่มสุรา

            โอกาสดีแล้วหนา                            ร่วมเภตราพ่อค้าเถอะ

        หญิงม่ายได้ฟังลูกชายมาลาขออนุญาตเดินทางโดยเรือสำเภา นางรู้สึกผิดหวังในตัวลูก ประกอบกับนางรักลูกสุดชีวิตจิตใจ มีความห่วงใย ไม่อยากให้เขาเดินทางไกลข้ามทะเลหรือมหาสมุทร นางจึงพูดกับเขาขึ้นว่า.....

                   โอ้ลูกชายสายสวาท                  อย่านิราศจากมารดา

               ถ้าลูกขึ้นเภตรา                            แม่เกรงว่าอันตราย

               ทะเลนั้นบ้าคลั่ง                            คลื่นตีตั้งดั่งกระหาย

               เภตราพังสลาย                            ลูกอาจตายในทะเล

       นายมิตตวินทุกะเมื่อถูกแม่ห้ามก็โกรธ จึงชี้หน้าแม่ของเขาแล้วตะคอกกลับด้วยเสียงอันดังว่า....

                        หลีกไปนะยายแก่                 ถึงเป็นแม่ไม่เกรงใจ

              อย่าปรามห้ามข้าไป                        ขวางทางไว้ได้เห็นดี

            ข้านัดเพื่อนล่วงหน้า                        บนเภตราเวลานี้

            อยู่ไปไม่เห็นมี                                  ความเจริญเพลิดเพลินใจ

                       คนอื่นตั้งหมื่นแสน                เขามีแฟนแสนสดใส

            กินเล่นเห็นเป็นไร                             ไยเล่าข้ามาปิดตัว

            เพราะแม่ห้ามทุกอย่าง                      เพื่อนเพื่อนต่างพายิ้มหัว

            หาว่าข้าขลาดกลัว                            แม่ไปหมดอดสูใจ

        ครั้นพูดจบเขาก็ใช้เท้าถีบอกของแม่ซึ่งยืนขวางประตู อนิจจา ! ร่างของแม่ของเขาหงายไปตามแรงเท้า หัวฟาดกับผนังบ้านแล้วล้มลง เขารีบก้าวออกจากบ้านเพื่อไปยังท่าเรือสำเภาด้วยเกรงว่าจะไม่ทันเวลา โดยหารู้ไม่ว่าแรงถีบของเขานั้นทำให้แม่ของเขาเจ็บปวดอาการถึงสลบ แต่ด้วยหัวใจที่รักลูก ห่วงใยลูก หญิงม่ายแข็งขืนใจรวบรวมสติกำลังคลานตามเขา จับเท้าลูกชายไว้ แต่ก็ถูกเขาสะบัดหลุด แล้วออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว

        เขาไม่รู้หรอกว่าที่เขาสะบัดเท้าเพื่อให้มือของแม่หลุดนั้น ศีรษะแม่ของเขากระแทกขอบประตู นางสลบอยู่ตรงนั้นเอง

        นายมิตตวินทุกะเดินทางมาถึงท่าน้ำทันเวลาที่นัดหมาย แล้วโดยสารเรือสำเภาไปกับพ่อค้าและเพื่อนของเขา เรือสำเภาแล่นออกสู่ทะเลมาหลายวัน จนในวันหนึ่ง อยู่ดีๆ เรือสำเภาก็หยุดแล่นโดยที่ลมยังพัดอยู่ ใบสำเภาก็กางเต็มที่ พ่อค้าซึ่งเป็นหัวหน้า  อุทานว่า... “ตายล่ะ เกิดอาถรรพ์อันใดหนอ การไหว้แม่ย่านางเรือก็ทำแล้ว ไหว้เจ้าที่ผีทะเลหลวงก็ทำทุกวัน ชะรอยในเรือเรานี้คงมีคนกาลกิณีโดยสารมาอย่างแน่นอน เราเห็นจะต้องประชุมผู้โดยสาร แล้วทำการจับฉลากดั่งธรรมเนียมเดิม”....

        เมื่อหัวหน้าพ่อค้าประชุมแล้วก็ทำฉลากให้ครบจำนวนทุกคน แล้วจับฉลาก ถ้าใครได้ใบที่มีคำว่า “กาลกิณี” ถึง ๓ ครั้ง ให้ลอยแพ ปรากฏว่านายมิตตวินทุกะจับได้ถึง ๓ ครั้ง พ่อค้าจึงพูดขึ้นว่า....

                    เจ้าจับได้ใบนี้                          “กาลกิณี” ถึงสามหน

             เจ้าทำอกุศล                                   ผลหยาบช้าน่าชิงชัง

             กฎเกณฑ์ของสำเภา                        ลอยแพเจ้าทะเลคลั่ง

             อาจตายวายชีวัง                              หรือถึงฝั่งช่างหัวแก

        หัวหน้าพ่อค้าพูดจบแล้วสั่งให้จับตัวเขาไว้ โยนแพไม้ไผ่ลงในทะเล แล้วให้พวกลูกเรือจับร่างของนายมิตตวินทุกะโยนลงจากสำเภาเรือ น่าประหลาดใจ ทันทีที่ร่างของเขาพ้นจากเรือ สำเภาก็แล่นจากที่นั่นไปได้เอง

        นายมิตตวินทุกะอยู่บนแพ ลอยไปตามคลื่นลมคลื่นกรรม วันหนึ่ง เย็นจวนค่ำแล้ว แพของเขาก็ถูกคลื่นลมพัดมาถึงเกาะแห่งหนึ่ง 

           .... “ โอ! เรารอดตายแล้ว เราถึงเกาะอันอุดมสมบูรณ์แล้ว ช่างโชคดีเสียนี่กระไร”...เขาอุทานด้วยความดีใจแล้วเดินขึ้นสู่เกาะ เป็นเวลาพลบค่ำพอดี

           เมื่อเขาเดินขึ้นสู่เกาะก็พบกับความลิงโลดใจ เพราะบนเกาะนี้มีบ้านช่องขนาดใหญ่ มีแสงไฟจำรัสเจิดจ้าราวกับทิพย์วิมาน มีหญิงชายเสพสุขในบ้านแต่ละหลัง ทันทีที่หญิงเหล่านั้นเห็นเขาก็พากันมาเชื้อเชิญห้อมล้อม จัดแจงหาเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เขาอย่างดี ให้อาบน้ำ แล้วนำอาหารชั้นเลิศมาให้เขา นายมิตตวินทุกะได้สิ่งสมใจเขาแล้ว คือผู้หญิงสวยมากมายละลานตา เขาถึงกับพูดกับตัวเองว่า...“นี่ถ้าเรายังอยู่กับแม่ ก็คงจะไม่โชคดีขนาดนี้ ต้องขอบใจฉลากใบนั้นที่เราจับได้ถึง ๓ ครั้ง ทำให้เราโชคดีกว่าใคร ๆ”

          แต่เขาไม่รู้เลยว่าบ้านที่เขาอาศัยอยู่นั้นเป็นวิมานของนางเปรตชนิดหนึ่ง คือ เวมานิกเปรต (เวมานิกกะเปรต) ได้แก่นางเปรตผู้มีวิมานอยู่ นางเปรตเหล่านี้กลางคืนมีวิมานเกิดขึ้น นางมีร่างกายอันงดงามด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น วิมานนั้นก็หายไป นางเปรตก็หายไป

          นายมิตตวินทุกะอยู่กับนางเปรต กลางคืนเขามีความสุขกับนางเวมานิกเปรต พอก่อนรุ่งเช้าเขาก็หลับไปแบบสลบไสล จนอยู่มาหลายวันเขาลืมตาขึ้นมา ปรากฏว่าเขานอนอยู่ใต้ต้นไม้ มิใช่นอนอยู่ในวิมาน

         “อะไรกันนี่ วิมานหายไปไหน ผู้หญิงของเราทุกคนหายไปไหน ทำไมเรานอนอยู่ในวิมานแต่กลายเป็นต้นไม้ไปได้เล่า” เขาอุทานด้วยความฉงนใจ

         เพื่อต้องการรู้ว่าผู้หญิงของเขาหายไปไหน เขาจึงออกเดินตามหาขึ้นไปบนยอดเขา ยิ่งใกล้เข้าไปเขาก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยโหยหวนของผู้หญิง มันเป็นเสียงของผู้หญิงที่ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน เขาเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ ทันทีที่ถึงลานกว้างบนยอดเขา ภาพอันน่าสยดสยองก็ปรากฏแก่สายตาของเขา ผู้หญิงของเขานางหนึ่ง มีร่างกายผอมแขนขายาว รูปร่างน่าสะอิดสะเอียน กำลังถูกสุนัขและเสือกัดกินเนื้อหนัง แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังไม่ตาย เขาดูที่อื่นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด เขาจึงเดินกลับไปที่เดิม 

           พอค่ำลงหญิงและวิมานก็เกิดขึ้น ผู้หญิงเหล่านั้นก็มีหน้าตาเนื้อหนังสวยดังเดิม กลับมาอยู่กับเขา นายมิตตวินทุกะจึงรู้ว่านางเหล่านั้นคือนางเปรต

            “ตายจริง นี่เราอยู่กับนางเปรต แล้วอาหารที่นางให้เรากินเล่า มันเป็นอย่างไรกันแน่” เขาคิดดังนี้แล้วก็ไม่อภิรมย์สมสู่กับนางเปรต คิดแต่จะหาทางหนีในวันรุ่งขึ้น

              คืนนั้นนายมิตตวินทุกะนอนไม่หลับ เขารอให้ถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น และทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น ผู้หญิงของเขาก็หายไปหมด พวกนางต้องไปเสวยกรรมบนลานนั้นอีกนานแสนนาน (พวกนางมีกรรมอันใดหนอจึงได้เป็นเช่นนี้?)

             นายมิตตวินทุกะหาทางที่จะหนีไปให้พ้นจากเกาะ อันเรียกว่า “เกาะกรรม” จึงเดินไปเรื่อยๆ ครั้นสายขึ้น เขาเริ่มหิวกระหาย บวกกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว เขาไม่มีน้ำ อาหาร ร่ม จนบ่ายคล้อยเขาก็เดินมาพบกับชายผู้หนึ่ง ทันทีที่เห็น เขาดีใจว่าเขาจะได้พึ่งพาอาศัยชายผู้นี้ เขาจึงกล่าวว่า....

                    คุณพี่ครับ...คุณพี่                  ดอกบัวนี้พี่หวงไหม

             ผมเดินทางกว้างไกล                      แดดเผาไหม้ร้อนในตัว

             ขอดอกบัวให้ผม                             กั้นเป็นร่มไว้บนหัว

             หยาดน้ำฉ่ำจากบัว                          รดทั่วกายคลายหายร้อน

        หญิงม่ายผู้เป็นแม่ของเขา หลังจากเขาออกจากบ้านมา นางเสียใจตรอมใจ บวกกับวันนั้นศีรษะของนางกระแทกกับข้างกรอบประตูบ้าน นางถูกเขาถีบที่หน้าอกหน้าท้อง นางช้ำในช้ำใจตาย วิญญาณของนางติดตามหาลูกชายตลอดมา เมื่อนางเห็นลูกชายร้องขอดอกบัวจากศีรษะชายผู้นั้น วิญญาณของนางถึงกับร้องไห้ เพราะไม่รู้ว่าจะช่วยลูกของนางได้อย่างไร

        ชายผู้นั้นเมื่อถูกนายมิตตวินทุกะพูดขอดอกบัวจากหัวของเขา เขาจึงพูดว่า....

                      ฮะฮ้าไอ้ตาถั่ว                       ใช่ดอกบัวที่ไหนเล่า

               จักรกรดบดเศียรเกล้า                 มิอาจเอาออกได้เลย

                เจ้าเห็นเป็นดอกบัว                     เจ้าคนชั่วแน่ละเหวย

                ก่อนข้ามาสังเวย                        เคยตีด่ามารดาตัว

                เมื่อเจ้าเอาให้ได้                          ข้าจะให้ประดับหัว

                รับรองร้องระรัว                         กงจักรซัดพัดหัวมึง

                คนใดพ่อแม่สอน                        ทำแสนงอนตาถลึง

                ส่งเสียงเถียงอลอึง                    ไม่พึงพ้นจักรกลกรรม

        ชายผู้นี้เดิมทีเขาก็ดื้อรั้นบิดามารดา เดินทางมาโดยเรือสำเภา แล้วก็มีชะตาไม่ต่างจากนายมิตตวินทุกะ คือร้องขอกงจักรอันเป็นกงจักรที่กรรมบันดาล แต่ครั้นถึงหัวเขาแล้วก็มิสามารถยกออกไปได้ จักรกรดหมุนพัดจนเลือดไหล จะตายก็ไม่ตาย ทนทุกข์อย่างนี้มาหลายปี บัดนี้ นายมิตตวินทุกะมาเห็นกงจักรบนหัวเขาเป็นดอกบัว เห็นหยาดเลือดเป็นหยดน้ำ เขาจึงรู้ว่าเขาได้ใช้กรรมมาจนสิ้นแล้ว ชายผู้มีกงจักรพัดหัว ยกมือขึ้นดันกงจักร ก็สามารถยกออกอย่างง่ายดาย แล้วก็ขว้างไปโดยสุดกำลัง นายมิตตวินทุกะเห็นกงจักรอันปรากฏเป็นรูปดอกบัวลอยมาก็มีใจยินดีปรีดายิ่งนัก อ้าแขนขึ้นรับมาประดับที่หัวของตน 

         ฉับพลันทันใดนั้น กงจักรก็เริ่มสำแดงฤทธิ์ รอบในมีซี่อันแหลมคมหมุนพัดหัวของเขาเลือดไหลออกมาอาบตัว ซึ่งมีซี่จักรรอบนอกป้องกันไม่ให้เขาจับ ถ้าจับก็เป็นอันว่ามือของเขาต้องขาดออกอย่างแน่นอน เขาร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เขารู้ว่า ดอกบัวที่เขาเห็นซึ่งมีกลีบสวยงามนั้นแท้จริงคือกงจักร น้ำตาของเขาไหลพราก เลือดอาบร่างของเขา เขาเจ็บปวดแต่ก็ไม่ตาย ถึงตอนนี้ เขารู้แล้วว่าการที่มารดาของเขาห้ามนั้นเกิดจากความรักความห่วงใย แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะยมบาลให้นายนิรบาลคอยคุมการทรมานลูกอกตัญญูผู้นี้

         พระโพธิสัตว์ คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งนั้นเป็นเทพยดาองค์หนึ่ง กลับมาจากการดูการทรมานสัตว์นรก ผ่านมาพบเข้า จึงตรัสสอนเขาว่า....

                 คำสอนของแม่พ่อ                   นั้นเกิดก่อจากความรัก

            ลูกลูกจงตระหนัก                         คำสอนท่านปานดอกบัว

            หูฟังคำสอนไว้                              แล้วนำไปใส่ในหัว

            จะพ้นหม่นหมองมัว                       ดั่งดอกบัวพ้นมลทิน

                  คำสอนของคนชั่ว                   หลงเมามัวตัวหมดสิ้น

            คนชั่วกลั้วราคิน                           มีลมลิ้นอาบพิษลวง

            คำสอนคนชั่วนั้น                           ดุจจักรผันฟันหนักหน่วง

            เชื่อชมต้องตรมทรวง                    ศีรษะขาดถึงฆาตเอย

 

วิิพากษ์

        ลูกที่ไม่เชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ ถ้าเป็นลูกชาย คนใดเชื่อคำสอนของเพื่อนชั่ว พากันไปทำความเลว ต้องเกิดเรื่องวิวาท ถูกเขาตีหัว ดึงหัว หรือติดคุก แล้วก็ถูกควบคุม ในคุกก็รังแกกันเอง เบียดเบียนกันเอง

            ลูกที่ไม่เชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง มีสามีเร็ว หรือถูกหลอกลวง ถูกบังคับให้ขายตัว ถ้าไม่ทำตาม เขาก็ทุบตีดุจสุนัขและเสือรุมทึ้งเนื้อ

                 - สุนัข  คือ ผู้ชายมีเล่ห์เหลี่ยมดุจสุนัขจิ้งจอก

                 - เสือ   คือ  ผู้ชายที่เชี่ยวชาญในการหลอกผู้หญิง ภาษาพูด ว่า..

                                       ...เสือผู้หญิง...

         ถ้าไม่อยากหาเงินมาจากการขายยาเสพติดหรือขายตัว ก็ถูกทุบตี ได้เงินมาแล้วก็ถูกแบ่งปัน เหมือนคำพูดว่า ...ถูกแทะ...

         เด็กหนุ่ม-สาวไม่เชื่อฟังคำพ่อแม่ หนีเที่ยวสถานบันเทิงในเวลากลางคืน  สวยงามไปด้วยแสงไฟดุจวิมาน แต่กลางวันเมื่อไม่มีผู้ไปเที่ยวก็นอนแบบไร้ศักดิ์ศรี

         ....คนไม่เชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ เปรียบด้วยคำว่า....เห็นกงจักรเป็นดอกบัว...

 

                                                    พระเทพปฏิภาณวาที

                                                         (เจ้าคุณพิพิธ)

 

 


อ่าน : 0

แชร์ :


เขียนความคิดเห็น