ตอนที่ 209 : ยึดก็ผิด ติดก็หลง (เด็กกลุ้มหลวงตาแก้ ๑)

...ที่สนามหน้าโรงเรียน...  เป็นเวลาพัก ๑ ชั่วโมง 

เด็กหญิงพอเพียงเดินเข้าไปหาเด็กชายใฝ่ดีด้วยท่าทางครุ่นคิด

พร้อมกับพูดขึ้นว่า.....

 

ด.ญ.พอเพียง : ใฝ่ดี วันนี้พอเพียงเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ได้ยินจากครูมาว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” พอเพียงยังไม่เข้าใจเลย ใฝ่ดีรู้รึเปล่า ?

ด.ช.ใฝ่ดี : อ๋อก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน พยายามทำความเข้าใจแล้วแต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี

ด.ญ.พอเพียง :  ถ้าอย่างนั้น เราไปถามหลวงตากันดีไหม?

ด.ช.ใฝ่ดี : ไปสิ....พอเพียง ไปเดี๋ยวนี้เลย

 

เณรหนุ่ยกำลังจัดแจงน้ำชาถวายหลวงตา

หันไปเห็นเด็กทั้งสองคนเดินเข้ามา

จึงกราบเรียนหลวงตา.....

 

ด.ญ.พอเพียง : หลวงตาขา... หนูเอาปัญหามาให้หลวงตาหนักใจอีกแล้ว

ด.ช.ใฝ่ดี : หลวงตาครับ... พอเพียงอยากให้หลวงตาเทศน์อธิบายให้ฟัง เพราะพอเพียงเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ไม่เข้าใจที่ครูสอนว่า... ”สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น”.... 

ด.ญ.พอเพียง : อะไรคือสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ? การไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำอย่างไร? ดีอย่างไรคะ..? 

หลวงตา : เดี๋ยวลูก... หลวงตาขอทบทวนก่อนว่าข้อความนี้มาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าตอนไหน?

หลวงตา : นึกออกแล้ว มาจากพุทธภาษิตว่า... 

     สัพเพ ธัมมา  นาลัง  อะภินิเวสะยา

        (สพฺเพ  ธมฺมา นาลํ  อภินิเวสยา)

     สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

หลวงตา : สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนชาวโลกให้รู้ความเป็นจริง โดยสรุปว่า...

     สรรพสัตว์   เกิดจากกรรมชั่ว – กรรมดี

     สรรพสิ่ง      มีโดยธรรมชาติของมัน

     สรรพวัตถุ   เกิดจากการสร้างสรรค์ของคน

            ไม่มีอะไรเป็นของๆ ตนได้เลย

 

หลวงตา : คราวนี้ที่พวกเรายึดว่าเป็นของคนนั้นคนนี้ เป็นไปตามสิทธิ์ทางกฎหมาย ขอให้รู้เพียงว่า...

      สร้างเพื่อให้มี

      มีเพื่อให้ใช้

      ใช้ให้ใช้อย่างประหยัด

 

หลวงตา : สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ที่เรียกว่า “สมบัติ” หรือ “มรดกตกทอด”นั้น แต่ก่อนจะมาถึงมือเรา ก็มีคนหรือสัตว์ยึดว่าเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองทั้งนั้น แต่สุดท้ายสรรพวัตถุนั้นบางทีก็มีอันวิบัติคือเสียหาย สูญหาย ไปก่อนหน้าเจ้าของ บางทีเจ้าของก็ต้องจำละทิ้งไปหรือตายไปก่อนหน้าวัตถุนั้นๆ

หลวงตา : ดังนั้น เราจึงควรรู้เสียก่อนจะได้ไม่ยึดติดมัน และพิจารณาร่างกายของเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย ว่า...

     เกิดมาก็อาศัยอยู่เนินกองดิน

     ทำมาหากินบนกองงาน

     ทำบุญสุนทานด้วยกองเงิน

     ทุกขณะก็เดินสู่กองฟอน

     ตายแล้วก็นอนในกองไฟ

     เผาไหม้แล้วก็เหลือแต่กองกระดูก

     เหลือแต่ ผิด กับ ถูก ที่ทิ้งไว้ 

    บาป - บุญ ติดจิตไปในภพหน้า

 

ด.ญ.พอเพียง : หลวงตาขา “กองฟอน” คืออะไรคะ?

หลวงตา : กองฟอน เป็นคำเรียกกองฟืนที่นำเอาไม้และขอนไม้มากองเรียงกัน แล้วนำหีบศพไปตั้งไว้ข้างบน แล้วจุดไฟเผาศพ  ฟืนเผาศพที่กองสุมกัน เรียกว่า “กองฟอน” ส่วนต้นข้าวที่นวดแล้วนำมาสุมกัน เรียกว่า “กองฟาง” แต่ถ้ามีไม้ไผ่เป็นแกนกลาง แล้วนำฟางข้าวมาสุมกันทำรูปทรงคล้ายๆ เจดีย์ เรียกว่า “รอมฟาง”   

ด.ญ.พอเพียง :  โอ้โฮ...วันนี้ได้ความสว่างกระจ่างใจมากเลย

ด.ช.ใฝ่ดี : พอเพียง เขาเรียกว่าฟังเทศน์แล้วได้ปัญญาจ้ะ

ด.ญ.พอเพียง : ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าวันนี้เราสองคนได้ปัญญา พรุ่งนี้จะเขียนรายงานส่งครู หรือตอบปัญหาให้แจ่มแจ๋วเลย... เรากราบลาหลวงตากันเถอะ เอ้า...กราบ ๓ ครั้ง

 

                              พระเทพปฏิภาณวาที

                                  “เจ้าคุณพิพิธ”

หมายเหตุ : “เด็กกลุ้มหลวงตาแก้ เล่ม ๑-๔ (เด็กมีปัญหา หลวงตาเทศนาแก้ไข) ”หน้งสือในโครงการ ศีลธรรมของยุวชนคือสันติภาพของโลก  โดย ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม


อ่าน : 0

แชร์ :


เขียนความคิดเห็น