Barcode : 3000000000994
หมวดหนังสือ : การท่องเที่ยวต่างประเทศ
อาจสดชื่น เหมือนสีน้ำ ดิบเถื่อน เหมือนป่าลึก แต่จะน่าหลงใหล ดุจนิยายรัก ช่วงสายของวันหนึ่ง ในปลายเดือนกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งแดดทอแสงสวยๆ เหมือนแดดในเพลง you are my sunshine ผมลาพักร้อน 1 สัปดาห์ โดยตั้งใจว่า จะใช้เวลาขับรถไปบ้านเก่า 3-4 แห่งที่ตัวเองเติบโตมา และไปกินข้าวในโรงอาหาร โรงเรียนเก่าสมัยที่ยังเป็นเด็กๆ โรงเรียนที่ผมเคยเรียนตอนอนุบาลและประถม เปลี่ยนแปลงไปมากรอจังหวะพอนักเรียนร้องเพลงเคารพธงชาติ เข้าห้องไปหมด ผมก็ไปนอนเล่นบนเก้าอี้ไม้ ที่อยู่ใต้ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ไปถึงก็ถอดรองเท้า นอนเอกเขนกมองใบไม้บนเก้าอี้ยาวอยู่ดีๆ ก็มีเสียงทักทายมาว่า “ไง ลมอะไรหอบมานอนเล่นที่นี่หรือ” ผมหันไปมองและตกใจมาก เจ้าของเสียงคือ “ครูใหญ่” ซึ่งอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้มาเกือบ 40 ปี คุณครูซึ่งสอนวิชาคณิตศาสตร์เมื่อตอนผมเด็กๆ และแน่นอนผมตกวิชาท่านทุกเทอม ครูบ่นว่าหลังจากเรียนจบไปต่อที่อื่นๆ ก็หายไปเลย หายไปเลยเกือบ 30 ปี “ครูอย่าน้อยใจเลยครับ เพราะวันหนึ่ง ผมก็จะกลับมาอยู่ดี" ผมคุยกับครูเก่าคลาสสิกกันหลายเรื่อง แต่หนึ่งในการสนทนาก็คือครูถามว่า 30 ปีที่ผ่านมาชีวิตเป็นอย่างไร ผมบอกว่าได้มี “ชีวิตที่ชอบ” แต่โดยหลักๆ มาจากความสุข 3 สิ่งคือ การมีอาชีพ “นักเขียน” (ที่ตัวเองใฝ่ฝัน) มี “แม่” ที่ผมรักมากกว่าพระเจ้าและที่สุด มี “การเดินทาง” มากมายเข้ามาในชีวิต อย่างหลังสุดนี้ฟังดูเหมือนง่าย คล้ายๆ นั่งรถหรือเครื่องบินไปไหน และตีตั๋วกลับ แต่ความจริงแล้ว การเดินทางของคนเรานั้น กว้างไกลกว่าสายน้ำ ลุ่มลึกกว่าวรรณกรรมและน่าตื่นเต้นกว่าพล็อตหนังฮอลลีวู้ดมากนัก ในโลกของถ้อยคำและภาษา ผมชอบคำว่า life และ “การเดินทาง” คำแรกนั้นปกคลุมความหมายทุกอย่าง ขณะที่คำหลังทำหน้าที่ขยายเรื่องราวจากสิ่งแรก การเดินทางที่ว่านี้ ไม่ใช่นั่งรถไปทำงานตอนเช้า และกลับมาในตอนค่ำ แต่หมายถึงการออกเดินทางไปในช่วงเวลาหนึ่ง ขับรถไปนอนค้างอ้างแรมที่หัวหิน ขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่ หรือให้เครื่องบินพาไปทั่วโลกจะใกล้หรือไกล ล้วนนับเป็นการเดินทางทั้งสิ้น ส่วนจะเดินทางแบบ travel ท่องเที่ยวหรือ แบบ journey มีจุดหมายปลายทาง ขึ้นอยู่กับแต่ละคน เหมือนหลายๆ คน ผมไม่ค่อยชอบการเดินทางแบบไปเที่ยว ถือธงหรือไปแบบกรุ๊ปใหญ่ๆ เป็นกองทัพ และเอาเท้าแตะๆ 5 นาที ขึ้นรถ การเดินทางของผม (หรืออย่างน้อยที่ผมหมายถึง) คือการไปอยู่ในสถานที่หนึ่ง เมืองหนึ่ง หมู่บ้านหนึ่ง และใช้จ่ายวันคืนไปกับมัน มีความรู้สึกสนุกสนานและเมาปลิ้น มีความเดียวดายและโรแมนติก มีปัญหาให้ต้องแก้บ้าง และได้พบผู้คนที่มีมิตรภาพใหม่ๆ นี่ยังไม่นับ “เรื่องไม่คาดฝัน” ในสนามบิน บนถนนหนทาง และระหว่างพเนจร หนังสือเล่มนี้เกิดจากการไปต่างประเทศ 40 กว่าทริปของผม และไม่ว่าจะถูกเชิญไปด้วยเนื้อหาของอะไร (ดูโรงงานหลอดไฟ ไปเห็นหมู่บ้านจักรยาน, สัมผัสงานประมูลดอกไม้ หรือเยี่ยมโรงละคร) นั้น เกือบทุกทริปล้วนมี “ฟุตบอลและไวน์” มี “หนังสือและกาแฟ” เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางเสมอ วัฒนธรรมแต่ละอย่างเป็นเหมือนสีแต่ละโทนของชีวิตและไม่ว่าสุขหรือโศก จะฝนตกหนัก หรือแดดออกจ้า ทุกๆ ทริปนั้นเราเติบโตขึ้นเสมอเมื่อกลับถึงบ้าน และจะดีมาก หากเรามี “สายตา” ในการเก็บรายละเอียดต่างๆ ตามรายทางและระหว่างทาง นอกจากได้เห็นโลกแล้ว ผมรู้สึกว่า การเดินทางทำให้เรากลับมาชื่นชม “การมีชีวิต” ไม่หักล้างตัวตน และไม่ทำร้ายชีวิตตัวเอง เพราะชีวิต (life) เป็น message ที่สวย เป็นรูปวาดที่งาม จากการค่อยๆ บอกของการเดินทาง โมเมนต์หนึ่งที่ผมไม่ลืมและจำได้เสมอ เที่ยวบินกลางดึกคืนหนึ่งที่ตัวเองเดียวดายในสนามบินแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมัน ซึ่งดีเลย์ออกไป และต้องนั่งอยู่คนเดียวในพื้นที่หนึ่งของสนามบิน มันเป็นทริปต่อเครื่องไปแมนยูเพื่อได้สัมภาษณ์ “เฟอร์กี้” เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับนักข่าวอีก 4 ชาติ ที่ต่างคนต่างบินไปรอที่นั่นแล้ว (เขาเชิญประเทศละคน จากเอเชีย) จำได้ถึงการหลับนอนในปราสาทเก่าที่ชนบทฝรั่งเศสเมื่อปี 2000 จำได้ถึงการเดินเล่นบนสะพานไม้ที่ฟลอเรนซ์ และไม่เคยลืมการนอนในรถไฟสายโรแมนติก ยูโรสตาร์ที่แล่นจากอิตาลีมาเยอรมัน ซึ่งครั้งหนึ่ง ชีวิตก็เคยรู้สึกแบบนั้นกับรถไฟ จากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ .............. เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เป็นการเขียนใหม่หมด โดยผมได้ใช้เวลาย้อนความหลังอันแสนหวานของตัวเอง ในช่วง 18 ปีที่ทำงานมา ซึ่งในแวบหนึ่งของการเขียน ผมนึกถึงบทกวี the road not taken ของ โรเบิร์ต ฟรอสต์ อยู่บ่อยๆ บทกวีที่ว่านี้ เราสามารถพบในสารคดีของ national geographic และการ์ดแผ่นเล็กๆ บนหัวนอนตามโรงแรมในยุโรป โรเบิร์ต ฟรอสต์ บอกว่า life is journey ที่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ชีวิตก็จะพบทางแยกที่ต้องเลือก หลายคนอาจจะเลือกถนนที่เต็มไปด้วยรอยเท้ามากมาย บอกถึงการเคยถูกเหยียบย่ำ และมีผู้คนอยู่ข้างหน้า ซึ่งเส้นทางนี้คงไม่เงียบเหงา และคึกคักเป็นระยะๆ แต่ผมชอบถนนอีกเส้นหนึ่งมากกว่า ถนนที่เป็น the road not takenของบางคน เพราะไร้ร่องรอยของการเดินทาง มีใบไม้ร่วงหล่นและปกคลุมม้านั่งข้างทางมีฝุ่นจับ มีคนไม่มากที่เลือกเส้นทางแบบนี้ ด้วยเพราะอาจเงียบเหงา และเดียวดาย สันโดษ แต่สิ่งที่งามก็คือ เรามีโอกาสจะได้เป็นนักสำรวจ และเสาะหาเรื่องราวที่แตกต่างออกไป ผมจะยังคงเดินทางต่อไป ทั้งในชีวิตและในความคิด ทั้งรอนแรมและร่อนเร่ ทั้งเตร็ดเตร่ และโต๋เต๋ เพราะรู้สึกเสมอมาว่า ไม่ว่าคุณนอนค้างอ้า้งแรมกับสาว ในบ้า้นไม้สีแีดงที่โี่ปรวองซ ์ หรือเดินดูกวางสวยที่โี่คเปนฮาเกน ไม่ว่าใครจะตกปลาแบบ fly fishing ที่โกเตนเบิร์ก หรือเราจะนอนเล่าความหลังที่ปราสาทงามในชนบทของฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเดินข้ามสะพานไม้ด้วยการกุมมือคนรักที่ปราก หรือบอกรักแฟนคุณบน “ดูโอโม่มหาวิหาร” ที่ฟลอเรนซ์ การเดินทางนั้นคือ วิธีชื่นชมโลกอย่างหนึ่ง ที่บางครั้งอาจสดชื่น เหมือนสีน้ำ ที่บางทีอาจดิบเถื่อน เหมือนป่าลึก แต่ว่าถึงที่สุด การท่องโลกไป จะน่าหลงใหล “ดุจนิยายรัก”