สถานีต่อไป… มาโฮโรชิ ท่านผู้โดยสารสามารถย้อนกลับไปเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ได้ที่นี่ | ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
สถานีต่อไป… มาโฮโรชิ ท่านผู้โดยสารสามารถย้อนกลับไปเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ได้ที่นี่
สถานีต่อไป… มาโฮโรชิ ท่านผู้โดยสารสามารถย้อนกลับไปเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ได้ที่นี่

สถานีต่อไป… มาโฮโรชิ ท่านผู้โดยสารสามารถย้อนกลับไปเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ได้ที่นี่

ผู้แต่ง : ชิมิซุ ฮารุกิ

หนังสือปกอ่อน

฿ 238.00

265.00

ประหยัด 10 %

TAGS :

ข้อมูลหนังสือ

Barcode : 9786168329511

ISBN : 9786168329511

ปีพิมพ์ : 1 / 2567

ขนาด ( w x h ) : 130 x 185 mm.

จำนวนหน้า : 208 หน้า

หมวดหนังสือ : หนังสือแปลตะวันออก

รายละเอียดสินค้า : สถานีต่อไป… มาโฮโรชิ ท่านผู้โดยสารสามารถย้อนกลับไปเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ได้ที่นี่

เรื่องย่อ สถานีต่อไป… มาโฮโรชิ
ท่านผู้โดยสารสามารถย้อนกลับไปเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ได้ที่นี่

สถานีรถไฟมาโฮโรชิ คือสถานีรถไฟที่จะพาคุณย้อนกลับไปยังทางแยกของชีวิต เพื่อให้คุณได้เลือกเส้นทางที่ไม่ได้เลือกในอดีตจนคุณรู้สึกเสียใจในภายหลังเป็นอย่างมากและได้ลองใช้ชีวิตในอีกทางเลือกหนึ่งนั้น แต่การจะเดินทางมาถึงสถานีมาโฮโรชิได้มีเงื่อนไขด้วยกันสามข้อ คือ 
ข้อที่หนึ่ง คุณจะต้องรู้สึกเสียใจในภายหลังอย่างรุนแรงต่อเส้นทางชีวิตที่เลือกมาจนอยากย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่
ข้อที่สอง คุณจะต้องขึ้นรถไฟสายโซบุที่วิ่งผ่านต้นเคยากิขนาดใหญ่ตรงบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำอารากาวะกับแม่น้ำนากางาวะ
ข้อที่สาม วันที่เดินทางจะต้องเป็นเวลากลางคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น
เมื่อเงื่อนไขครบทั้งสามข้อ คุณก็จะมาถึงสถานีมาโฮโรชิและได้พบกับเจ้าหน้าที่สถานีประจำเดือนที่คุณมาเยือน ทว่ามีสิ่งสำคัญที่คุณต้องรู้อีกหนึ่งเรื่องนั่นคือ ถึงจะได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต กลับไปยังจุดที่เป็นทางแยกของชีวิตและเลือกเส้นทางที่คุณไม่ได้เลือกในตอนนั้น ชีวิตในปัจจุบันของคุณก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป การย้อนกลับไปใช้ชีวิตในอีกเส้นทางหนึ่งนี้ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับโลกแห่งความจริง และเมื่อคุณสัมผัสกับชีวิตในอีกทางเลือกจนถึงจุดที่พอใจแล้วคุณก็จะได้กลับมายังสถานีมาโฮโรชิอีกครั้ง หลังจากกลับมายังโลกความเป็นจริงแล้วผู้โดยสารที่เคยมายังสถานีมาโฮโรชิแห่งนี้จะต้องมารับหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่สถานีในเดือนถัดไป

ในเล่มประกอบด้วยเรื่องราวของคน 5 คนที่รู้สึกเสียใจภายหลังอย่างรุนแรงและได้รับโอกาสให้ย้อนกลับไปยังทางแยกของชีวิตเพื่อสัมผัสชีวิตในอีกเส้นทางที่พวกเขาไม่ได้เลือกในอดีต

บทที่ 1 ถ้าตอนนั้นสารภาพรัก
ทานากะ โนโบรุ เสียใจในภายหลังอย่างรุนแรงที่วันจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมปลายเขาไม่ได้สารภาพรักกับ อิวาซากิ ซุมิเระ เพื่อนร่วมชั้นที่เขาแอบชอบมานาน แม้ว่าในปัจจุบันเขาจะแต่งงานกับ ฮานาโยะและมีลูกด้วยกันถึงสี่คน แต่หลังจากแต่งงานแล้วฮานาโยะก็เปลี่ยนไป เธอเสียงดังขึ้น น้ำหนักมากขึ้น แม้ว่าเธอจะช่วยเขาทำมาหากินและเลี้ยงลูก แต่ครอบครัวนี้ก็ไม่ได้ร่ำรวยมาก แถมการใช้ชีวิตในบ้านที่มีเด็กสี่คนก็ทำให้เขาไม่มีเวลาส่วนตัวเลย เขาจึงได้แต่จินตนาการถึงชีวิตที่แตกต่างออกไปจากนี้ และการได้พบกับซุมิเระอีกครั้งในงานร่วมรุ่น รวมถึงได้รู้ว่าเธอเองก็เคยชอบเขายิ่งทำให้ความรู้สึกเสียใจในภายหลังของทานากะยิ่งรุนแรงขึ้น 
เย็นวันศุกร์ หลังทานากะเลิกงาน เขาก็นั่งรถไฟเพื่อกลับบ้าน ทานากะคิดถึงแต่คำพูดของซุมิเระที่บอกกับเขาว่าเธอเองก็เคยชอบเขาเหมือนกัน เขาบอกกับเธอว่าน่าจะบอกกันให้เร็วกว่านี้ และเธอก็เปรยออกมาว่าถ้าบอกเร็วกว่านี้จะเป็นยังไงนะ คำพูดนั้นติดอยู่ในหัวทานากะจนเขาเผลอจินตนาการถึงการสารภาพรัก รถไฟวิ่งไปเรื่อยๆ มาถึงบริเวณสะพานซึ่งพาดผ่านอยู่เหนือแม่น้ำอารากาวะกับแม่น้ำนากางาวะ คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสว่างไสว แล้วอยู่ๆ ก็เหลือเพียงเขาคนเดียวในรถไฟ พอรถไฟหยุดวิ่ง เขาก็มาถึงสถานีมาโฮโรชิแล้ว
เจ้าหน้าที่สถานีอธิบายกับเขาว่า “ที่นี่คือสถานีมาโฮโรชิ สถานีทางแยกของชีวิต” ก่อนจะอธิบายเงื่อนไขในการมาถึงสถานีและบอกกับเขาว่า เขาสามารถย้อนกลับไปยังทางแยกของชีวิตและเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ได้ โดยการเลือกนี้จะไม่กระทบกับชีวิตในโลกความจริงปัจจุบันของเขา เมื่อทานากะตกลง เขาก็กลับขึ้นรถไฟและอธิษฐานว่า อยากย้อนกลับไปวันพิธีจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายวันนั้น กลับไปตอนที่นั่งรถไฟขบวนนั้นและไม่กล้าสารภาพรักกับอิวาซากิซัง... ทันใดนั้นรถไฟก็เริ่มเคลื่อนตัวและในไม่ช้าขบวนรถก็เข้าไปในอุโมงค์ เมื่อโผล่ออกมาจากอุโมงค์เขาก็ย้อนกลับมายังอดีตในวันพิธีจบการศึกษา
ทานากะกลับมาอยู่ในขบวนรถไฟ อิวาซากิ ซุมิเระคนนั้นอยู่ในชุดนักเรียนคอปกกะลาสี เธอนั่งอยู่ตรงที่นั่งฝั่งตรงข้าม ถือกระบอกบรรจุใบประกาศนียบัตรจบการศึกษาเช่นเดียวกับเขา มันเป็นวันนั้นที่ทานากะจะสารภาพรักแต่ไม่กล้าพอ ทว่าวันนี้เขาจะตัดสินใจใหม่ วันนี้เขาจะสารภาพรักกับเธอให้ได้ ในจังหวะที่รถไฟหยุดลงที่ชานชาลา และซุมิเระกำลังจะลงที่สถานีนี้ ทานากะก็เรียกเธอไว้แล้วสารภาพรักออกไป และเป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ซุมิเระเองก็บอกว่าเธอชอบเขาเช่นกัน ทำให้ทั้งคู่ได้คบกันตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา 
โลกอดีตที่ดำเนินไปตามตัวเลือกอีกแบบบนทางแยกนี้ก็มีตอนต่อไป หลังสารภาพรักกับอิวาซากิซังสำเร็จและได้คบกันแล้ว พวกเขาก็คบหากันอย่างยาวนานและราบรื่น พวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกัน หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ทานากะก็เริ่มทำงานในบริษัทที่หวังไว้เป็นอันดับหนึ่งซึ่งสมัครไม่ผ่านในโลกความเป็นจริง จนกระทั่งอายุ 27 ปี เขาก็ได้แต่งงานกับซุมิเระ
ชีวิตหลังแต่งงานของเขามีความสุขอย่างแท้จริง ซุมิเระทั้งทำอาหารเก่ง ทั้งสวยแม้ว่าจะแต่งงานกับมานานแล้วก็ตาม เขารู้สึกประหลาดใจ เพียงการเลือกว่าจะสารภาพรักหรือไม่ แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกระทั่งกับอาชีพการงานและการแต่งงานซึ่งเป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิตที่จะตามมา
ทว่าช่วงที่เริ่มเห็นลางไม่ดี ก็คือตอนเข้าสู่วัย 35 ปี ทานากะพบว่าเขาไม่มีเงินเก็บเลยทั้งที่ไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย รวมถึงเขากับซุมิเระไม่ได้มีลูกด้วยกัน แต่ไม่นานเหตุผลนั้นก็กระจ่าง สาเหตุมาจากนิสัยใช้เงินสิ้นเปลืองที่ซุมิเระปกปิดไว้ แต่เรื่องนั้นก็ยังไม่น่าตกใจเท่าการได้รู้ว่าอาหารที่ซุมิเระทำนั้น แท้จริงเธอซื้อมันมาจากโซนขายอาหารในชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า ซุมิเระมาขอโทษผมทั้งน้ำตา จากนั้นกล่าวว่านับจากนี้ไปจะกลับตัวกลับใจและพยายามตั้งใจทำอาหาร ทานากะจึงให้อภัย ทั้งยังรู้สึกว่าการได้เห็นข้อบกพร่องของเธอกลับทำให้รู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วยซ้ำ 
ความกังวลใจที่มีค่อยๆ เลือนลางไปจนกระทั่งทานากะไปเจอซุมิเระในร้านปาจิงโกะ เธอกำลังสนุกอยู่กับการเล่นปาจิงโกะด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ทั้งยังสูบบุหรี่อีกต่างหาก พอเธอกลับมาเขาก็เค้นถามความจริง ซุมิเระขอโทษทั้งน้ำตาอีกครั้งและบอกว่าจะอุทิศตนให้กับกิจกรรมอาสาสมัครและการทำเทียนหอมแทน เขาจึงตัดสินใจลบเรื่องนี้ไปจากสมอง และทั้งๆ ที่เกือบจะลืมเรื่องนี้ไปได้แล้ว อยู่ๆ วันหนึ่งเขาก็พบว่า ซุมิเระนอกใจ
ทานากะไปเห็นซุมิเระเดินควงแขนกับผู้ชายอายุไล่เลี่ยกันเข้าจึงจ้างนักสืบให้ลองตรวจสอบ แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมต้น ดูเหมือนจะเจอกันในงานเลี้ยงรุ่นและการพบกันที่นั่นก็กลายเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด เพียงแค่ได้ฟังเขาก็เข้าใจทุกอย่าง ซุมิเระคงจะพูดจาแบบเดียวกับที่พูดกับเขาในโลกความจริงว่าสมัยเรียนเธอเคยแอบชอบด้วย นั่นคงเป็นประโยคประจำตัวของเธอและเขาก็เผลอเชื่อคำพูดนั้นจนหมดใจ 
ชีวิตของทานากะเปลี่ยนไปหลังจากรู้เรื่องนี้ เขารู้สึกถึงความโดดเดี่ยวและอดเปรียบเทียบกับชีวิตจริงที่แต่งงานกับฮานาโยะและมีลูกด้วยกันถึงสี่คนไม่ได้ ตอนนั้นเองที่เขานึกถึงฮานาโยะขึ้นมาและสงสัยว่าเธอใช้ชีวิตแบบไหนอยู่หากไม่ได้แต่งงานกับเขา ทานากะจึงออกตามหาฮานาโยะโดยเริ่มจากที่ทำงานของเธอ แต่กลับไม่พบเบาะแสอะไร ในใจเขาเกิดรู้สึกกลัวขึ้นมาว่าฮานาโยะใช้ชีวิตในโลกแห่งทางเลือกอีกทางนี้อย่างมีความสุขมากกว่าในโลกแห่งความเป็นจริงและถ้าเป็นแบบนั้นเขาจะทำอย่างไรดี และอีกส่วนในใจก็รู้สึกผิดด้วย
ขณะกำลังครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ฝนเม็ดใหญ่เริ่มตกลงมาจากท้องฟ้า ในตอนนั้นเองเขาก็ได้พบกับฮานาโยะ เธอแต่งตัวดูดีมีราศีอย่างยิ่ง แถมถือร่มที่หรูหราราคาแพงอีกด้วย รูปลักษณ์ของเธอเหมาะกับการเรียกขานว่าคุณนายจากสักตระกูล ที่ข้างกันนั้นมีผู้ชายตัวสูงแต่งชุดสูทอย่างประณีต ฮานาโยะกำลังเดินตามหลังชายผู้ดูดีมากคนนั้นด้วยระยะห่างกันอยู่ครึ่งก้าว ทานากะจึงเดินทางเธอไป พอได้เห็นว่าชายคนนั้นปฏิบัติกับฮานาโยะอย่างหยาบคาบและได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยวเหงาของฮานาโยะที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ทานากะก็อดไม่ได้ที่จะแทรกเข้าไป เขาทะเลาะกับผู้ชายคนนั้นที่ยืนเคียงข้างฮานาโยะ ถูกผลักล้มลงกับพื้นจนเปียกไปทั้งตัว
หลังจากฮานาโยะกับชายคนนั้นจากไปแล้ว ทานากะก็ได้แต่นั่งอยู่กับพื้นเช่นนั้น เขารู้สึกสิ้นหวังและโทษตัวเองที่โหยหาเรื่องในอดีตเช่นนี้ ระหว่างกำลังคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ จู่ๆ ฮานาโยะก็มายืนอยู่ข้างๆ แล้วถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ใบหน้าที่ดูไร้สุขของฮานาโยะทำให้ทานากะถามออกไปว่าตอนนี้เธอมีความสุขหรือเปล่า เธอตอบเขาว่ามีความสุขแต่ย่นจมูกขณะตอบ ซึ่งนั่นคือท่าทางที่เธอมักจะทำเวลาโกหก และมันแปลว่าเธอไม่มีความสุข 
จากนั้นเธอก็ยื่นร่มออกมากันฝนให้เขา ตอนนั้นเองทานากะก็พูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไรครับ ขอแค่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว การเปียกฝนก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแล้ว” ฮานาโยะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ จากนั้นจึงค่อยๆ หุบร่ม เธอจ้องทานากะแล้วบอกกับเขาว่าไม่รู้ทำไม แต่พอมองคุณแล้วรู้สึกผูกพันขึ้นมา เสียงฟ้าร้องและสายฝนทำให้ทานากะนึกขึ้นได้ว่าคำขอแต่งงานของเขาคือ ‘ช่วยมาเปียกฝนด้วยกันกับผมได้ไหมครับ’ พอคิดได้แล้วเขาก็ได้แต่ขอโทษเธอในใจว่า ได้โปรดยกโทษให้ผมผู้โง่เง่าที่ลืมเรื่องสำคัญแบบนี้มาตลอดจนถึงเมื่อกี้ด้วยเถอะ คราวนี้จะรีบทำให้ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มให้ได้เลยคอยดู จากนั้นก็ถามเธอว่า “ช่วยมาเปียกฝนด้วยกันกับผมได้ไหมครับ...”
ทานากะกลับมายังสถานีมาโฮโรชิอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาได้คำตอบให้กับชีวิตตัวเองแล้ว ทานากะเพิ่งตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัวตัวเอง เวลาส่วนตัวที่เคยอยากได้ พอได้มาแล้วก็พบว่าเขาไม่อาจทนอยู่ตัวคนเดียวได้อีกต่อไป พอเขาได้พบกับฮานาโยะและสัมผัสความอบอุ่นนั้นอีกครั้งในโลกทางเลือกนั้น เขาก็นึกอยากกลับมาสู่โลกปัจจุบันจากก้นบึ้งของหัวใจ ดังนั้นในวินาทีที่ขอแต่งงานอีกรอบ ทานากะจึงได้กลับมายังสถานีมาโฮโรชิแห่งนี้นั่นเอง
เจ้าหน้าที่สถานีจึงกล่าวสิ่งหนึ่งกับทานากะผู้ผ่านเรื่องราวเช่นนั้นมาว่า “แทนที่จะนับจำนวนสิ่งที่ไม่มีทางได้มาอีกแล้วในอดีต มานับจำนวนสิ่งสำคัญที่อยู่ตรงหน้าในปัจจุบันดีกว่าไหมคะ” หลังจากนั้นทานากะก็กลับบ้านไปพบกับครอบครัวของตัวเอง

บทที่ 2 ถ้าตอนนั้นสอบติดมหาวิทยาลัยที่อยากเข้าที่สุด
โมริโนะ นาโอโกะ ไม่สนุกกับชีวิตมหาวิทยาลัยเพราะเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่อยากเข้าไม่ได้และนั่นกลายเป็นปมในใจของเธอ สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นในความรู้สึกของเธอก็คือ ยูอิ น้องสาวแท้ๆ ของเธอดันสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นได้ นาโอโกะอดคิดไม่ได้ว่ายูอิทำแบบนั้นเพราะต้องการเยาะเย้ยเธอ ความอิจฉาและโกรธเคืองทำให้เธอกับยูอิยิ่งห่างเหินกัน นาโอโกะอยากสลัดความรู้สึกหลายอย่างทิ้งไป แต่สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของนาโอโกะก็ยังคงเป็นเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งเธอพยายามอย่างหนักที่จะไม่คิดถึงมันแล้วอยู่นั่นเอง
ระหว่างนั่งรถไฟกลับบ้านเธอก็นึกถึงการ์ตูนอนิเมชั่นที่ชอบ เป็นเรื่องที่ตัวเอกได้รับพลังพิเศษในการข้ามเวลาและแก้ไขอดีตได้จากเหตุบังเอิญ ถ้าทำได้นาโอโกะเองก็อยากข้ามเวลาบ้าง และหากเป็นอย่างนั้นเธอคงจะย้อนอดีตกลับไปสอบเข้าใหม่และได้ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างที่วาดฝันไว้ รถไฟวิ่งต่อไปอย่างเชื่องช้า จนในที่สุดก็หยุดลงตรงหน้าสถานีซึ่งมีแสงไฟส่องสว่างอย่างนวลตา ป้ายตรงนั้นเขียนไว้ว่า สถานีมาโฮโรชิ
ทานากะ (ตัวละครหลักจากบทที่ 1) แนะนำตัวว่าเจ้าหน้าที่สถานีประจำเดือนพฤษภาคม เขาอธิบายเรื่องเงื่อนไขของสถานีรถไฟให้เธอฟัง นาโอโกะฟังแล้วจึงตัดสินใจว่าอยากลองย้อนกลับไปยังทางแยกในอดีตของตัวเอง พอเธอกลับขึ้นรถไฟและนั่งลงก็ยกมือขึ้นจับตุ๊กตาหมีบนกระเป๋าเป้ มันเป็นตุ๊กตาหมีที่แม่ของเธอเย็บให้ในวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตุ๊กตาตัวนี้เปรียบเสมือนเครื่องรางสำหรับนาโอโกะ นาโอโกะหลับตาลงและอธิษฐานอย่างแรงกล้าว่า ฉันอยากย้อนกลับไปวันประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย และถ้าวันนั้นฉันสอบติดมหาวิทยาลัยที่อยากเข้าเป็นอันดับหนึ่งจะเป็นยังไงกันนะ... รถไฟเริ่มเคลื่อนตัววิ่งเข้าไปในอุโมงค์ พอรถไฟโผล่ออกมาเธอก็ย้อนมาในวันดูผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
ในโลกแห่งทางเลือกนี้นาโอโกะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่อยากเข้าได้ และได้ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างที่ฝันไว้ อีกทั้งยังได้เข้าชมรมภาพยนตร์อีกด้วย และที่นั่นเองเธอก็ได้เจอกับทากายะ ที่เรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์ ทั้งคู่คุยกันถูกคอและไปออกเดตกันในวันอาทิตย์ของสองสัปดาห์ต่อมา ในเย็นวันนั้นทากายะมาส่งเธอที่บ้านและจะเข้ามาจูบเธอ แต่เธอปฏิเสธ ตอนนั้นเองที่นาโอโกะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังกังวลเรื่องของน้องสาวอยู่ที่ไหนสักแห่งในใจ
ความสัมพันธ์ของเธอกับยูอิในโลกนี้เป็นไปอย่างราบรื่น พวกเธอเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก แต่ถึงอย่างนั้นนาโอโกะก็ยังอดแสดงท่าทีว่าตนเองอยู่เหนือกว่าน้องสาวด้วยการแนะนำเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้กับน้องไม่ได้ นาโอโกะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่ได้แนะนำออกไปเพราะหวังดีกับน้องสาวผู้กำลังพยายามอย่างแข็งขันในการสอบ แต่เพราะเผลอหลงคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่านิดหน่อย ถึงอย่างนั้นนาโอโกะก็พบว่าตัวเองกระตือรือร้นกับทุกเรื่อง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงานพาร์ทไทม์ แถมยังย้อมผมเป็นสีน้ำตาลเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อีกต่างหาก ในโลกใบนี้เธอมีเพื่อนได้ไปเที่ยวกัน ความสัมพันธ์กับยูอิก็เป็นไปได้ดี การไปเที่ยวกับยูอิทำให้นาโอโกะคิดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา ก่อนหน้านี้พวกเธอก็เคยไปเที่ยวเล่นด้วยกันแบบนี้ แต่สายสัมพันธ์นั้นเริ่มพังอย่างชัดเจนตั้งแต่เธอขึ้นมัธยมปลายปีที่สองและน้องสาวเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนเดียวกัน

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คะแนนรีวิวจากผู้ซื้อจริง

0 เต็ม 5 ดาว
0 คน
0
0
0
0
0