- ไปเที่ยวสวน
คณะพรรค ๔ สหายพร้อมด้วยท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วก็พากันออกเที่ยวเตร่ตามธรรมดาของคนที่มีสตางค์เหลือใช้ แต่การเที่ยวไม่มีจุดหมายอะไร บางวันก็ไปดูการเลหลังเครื่องเรือนและข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่บริษัทเลหลังได้ประกาศทำการเลหลัง บางอาทิตย์ก็ไปเที่ยวดูภาพยนตร์ละคร หรือบางทีก็ไปพักผ่อนหย่อนใจที่สถานตากอากาศบางปู สำหรับอาทิตย์นี้ พล พัชราภรณ์ ให้ความเห็นว่าควรจะไปเที่ยวหาความรู้ในทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ สถานที่นั้นก็คือพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ และการเที่ยวก็ไม่ควรจะเอารถยนต์ไป ควรขึ้นรถประจำทางหรือรถรางบ้างเพื่อจะได้รู้ความจริงว่าคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวใช้นั้นต้องได้รับความทุกข์ทรมานและต้องเสียเวลาสักเพียงไหนเมื่อต้องเดินทางโดยรถประจำทางหรือรถราง ซึ่งรถทุก ๆ คันมีประชาชนเบียดเสียดเยียดยัดราวกับปลากระป๋อง ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าจำนวนพลเมืองในกรุงเทพฯ นั้นได้เพิ่มขึ้นทุก ๆ วัน
- เดือน 12 น้ำนองตลิ่ง
เมื่อใกล้จะถึงวันงานของกองทัพเรือ กิมหงวนก็มาจินตนาการดูว่าเขากับเพื่อน ๆ ควรจะไปเที่ยวชมงานนี้เพื่อจะได้หาความรู้ความเพลิดเพลินในการแสดงกิจกรรมต่าง ๆ ของราชนาวีไทย แต่ถ้าจะไปเที่ยวชมงานที่ท่าราชวรดิษฐ์ ที่นั่นย่อมมีประชาชนนับหมื่นเบียดเสียดเยียดยัดกัน ไม่สามารถจะมองเห็นการแข่งเรือและการแสดงอานุภาพของเรือรบของไทยได้ เว้นไว้แต่จะปีนขึ้นไปดูบนยอดมะขามซึ่งสารวัตรทหารเรือก็คงจะตะเพิดลงมา หรือมิฉะนั้นก็ต้องออกจากบ้านก่อนรุ่งเช้าไปยึด
- สลากกินรวบ
เป็นครั้งแรกที่คณะพรรค ๔ สหายของเราได้ชุมนุมกันพร้อมหน้ากันที่สนามหญ้าหน้าตัวตึกบ้าน “พัชราภรณ์” ๔ สหายกับ ๔ นาง และท่านผู้ใหญ่ทั้งสามต่างนั่งล้อมวงกันบนเสื่อจันทบุรีผืนใหญ่สองผืนซึ่งปูติดกัน มีขวดเหล้า ขวดโซดา ขวดน้ำอัดลม และจานใส่กับแกล้มต่าง ๆ วางอยู่มากมาย ระหว่างนี้อากาศค่อนข้างหนาวทำให้เนื้อตัวลอกไปตามกัน และบางคนก็ครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นไข้ ร้อนถึงดร. ดิเรกต้องคอยตรวจดูอาการคนโน้นคนนี้บ่อย ๆ โดยเฉพาะนิกรที่ไม่ถูกกับอากาศหนาวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นายจอมทะเล้นนั่งขัดสมาธิ
- พระลอตามแมว
เมื่อสาวสวยสองพี่น้องพากันเดินเข้ามาในตรอกเล็ก ๆ พวกห้องแถวในตรอกนั้นก็พากันมองดูหล่อนอย่างสัตว์ประหลาดราวกับว่าหล่อนมีอะไรผิดแปลกแตกต่างกว่ามนุษย์ทั้งหลาย คนเหล่านี้ไม่มีจรรยามารยาทชอบสนใจในเรื่องของผู้อื่น
เห็นคนแปลกหน้าแต่งกายหรูหราทันสมัยเป็นต้องแห่กันออกมาดู มิหนำซ้ำยังร้องตะโกนกู่บอกกันเสียอีก หลายคนวิจารณ์กันว่าหญิงสาวทั้งสองคงมาทำการรีดลูกที่บ้านนางพยาบาลแก่ ๆ คนหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพในการรีดลูกจนร่ำรวย แต่บางคนวิจารณ์ว่าหล่อนทั้งสองอาจจะมาหาหมอเสน่ห์ก็ได้ ซึ่งในซอยนี้มีคนสำคัญอยู่ ๒ คนคือนางสมจิตรนางพยาบาลที่มีอายุ ๕๐ เศษคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งครูบาศรีเมือง ชายชราผู้มาจากดินแดนแห่งถิ่นไทยงาม เป็นหมอเสน่ห์ยาแฝดเชี่ยวชาญไสยศาสตร์มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วเมือง ผู้ที่มีอายุเรียกชายชราผู้มีนามว่าศรีเมืองว่าครูบา ส่วนหนุ่ม ๆ สาว ๆ นิยมเรียกว่าพ่อปู่ ครูบาศรีเมืองมีเคหสถานอยู่ในซอยนี้ อาชีพไสยศาสตร์ช่วยให้ชายชรามีฐานะเป็นปึกแผ่นมั่นคง โดยเฉพาะครูบาศรีเมืองเก่งในทางเสน่ห์มากกว่าอย่างอื่น
สาวสวยทั้งสองเดินผ่านห้องแถวไม้ชั้นเดียวไปด้วยความกระดากอาย สาวผู้พี่ชื่อเพลินอายุไม่เกิน ๒๔ ปี น้องสาวร่วมสายโลหิตของหล่อนชื่อแพรวอ่อนกว่าพี่สาวเพียง ๒ ปีเท่านั้น เพลินกับแพรวเป็นหญิงสาวรูปร่างอวบอัดมีใบหน้าสวยงามเป็นเสน่ห์แก่เพศตรงกันข้าม สองสาวแต่งกายทันสมัยในเสื้อกระโปรงชุดสีฟ้าเหมือนกันทั้งสองคน