Barcode : 9786167989143
ISBN : 9786167989143
Year of print : 1 / 2567
Size ( w x h ) : 0 x 0 mm.
Number of pages : 0 Pages
Book category : ชีวประวัติบุคคลสำคัญ
"ชะตาชีวิตผมถูกขีดมาอย่างนี้ บางช่วงทุกข์มากมืดมนไปหมด ถึงเวลาก็สว่างของมันเองบทเรียนง่าย ๆ มีเท่านี้ ถึงเวลามันก็สว่าง ถึงเวลามันก็มืดใจเรามันทุรนทุรายนึกว่ามืดไม่มีวันสว่างจริง ๆ ทุกอย่างมันเป็นเวลา จะไปเจอใคร เจออะไรเขาลิขิตมาหมดแล้ว"
- ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล -
๘๔ ปี หรือ ๗ รอบนักษัต ต้องถือว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควรทีเดียว สำหรับชีวิตของคนคนหนึ่งซึ่งมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย เมื่อมองย้อนกลับไปดู มีหลายแง่มุมที่น่าสนใจ ตื่นเต้นโลดโผนไม่ได้สงบราบเรียบบางเหตุการณ์ที่นำมาเล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ เพื่อหวังใจว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง ได้ใช้เป็นบทเรียนลัดที่สรุปชีวิตผมตลอด ๘๔ ปีชีวิตผมตั้งแต่แรกเกิดจนวัยนี้ คือการได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ บทเรียนชีวิตมีแต่เพิ่มพูนขึ้น ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพใด ฐานะใด ประสบการณ์สะสมเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ยิ่งเราดำรงชีวิตโดยครองสติ๊ตลอดเวลา ยิ่งเก็บเกี่ยวบทเรียนได้ละเอียดถี่ถ้วนและเป็นประโยชน์มากเท่านั้นอีกด้านหนึ่งก็เห็นว่าชีวิตเป็นสนามรบด้วยเช่นกัน
ผมเชื่อว่าแต่ละคนมีดวงชะตาของตัวเอง เหมือนดังชื่อหนังสือเล่มนี้ที่ว่า "ชีวิตนี้ชะตาลิขิต" ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ผมมีชีวิตการศึกษาในวัยเด็กกระท่อนกระแท่น พ่อแม่แยกทางกัน เติบโตมาก็ต้องไปเป็น "นักเรียนนอก" ที่ไม่ได้สุขสบายเลย ต้องระหกระเหินลำบากยากเข็ญหนีภัยท่ามกลางสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อเข้ารับราชการอยู่ ๆ ก็ได้ไปวางแผนรับมือสงครามและปฏิบัติงานในสนามรบจริงถึง ๑๑ ปีเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายได้ทุกขณะ สิ่งเหล่านี้เมื่อมองย้อนกลับไปล้วนทำให้เราได้รับประสบการณ์กว้างขวางที่น้อยคนจะมีโอกาสได้รับ
แล้ววันหนึ่งก็โชคดีอย่างที่สุดในชีวิตที่ได้ถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ได้เป็นนักเรียนของพระองค์ท่านยาวนานถึง ๓๕ ปีทั้งหมดนี้ผมไม่ได้แสวงหา แต่ชีวิตลิขิตมาอย่างนี้ฟรองซัว เดอ ลาโรชฟูโกต์ นักปรัชญาและนักเขียนชาวฝรั่งเศส เคยกล่าวไว้ว่า "Le moi est haissable" แปลว่า "อัตตาเป็นของน่ารังเกียจ"การกล่าวขวัญถึงตนเองเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง แต่การเล่าเรื่องในหนังสือเล่มนี้ ผมได้ตั้งเจตนารมณ์ไว้ว่า จะเล่าทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายที่ย่างกรายเข้ามาในชีวิตโดยไม่ปิดบังอำพราง ทุกสิ่งที่เคยเผชิญมาเมื่อถึงอายุ ๘๔ ปีล้วนเป็นเพียงฉากหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ชีวิตเราก็เหมือนภาพยนตร์เรื่องหนึ่งดูจบแล้วก็แค่นี้ เหลือค้างแค่ว่าคนดูได้รับบทเรียนอะไรจากหนังเรื่องนี้
ผมอยากให้หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวที่เด็กสมัยนี้จะไม่มีโอกาสได้เรียนจากใครทั้งสิ้น และไม่ได้มีแค่ด้านที่ประสบความสำเร็จเพียงอย่างเดียว จึงสรุปบทเรียนท้ายรอบนักษัตรไว้ในแต่ละบทเพื่อเป็นแนวทางเป็นพลังใจ เป็นแรงผลักดัน เป็นประโยชน์ รวมถึงอาจจะเป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตของคนที่ได้อ่านต่อไปไม่มากก็น้อย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุลกรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิชัยพัฒนา